ท่องเที่ยวเวียดนาม ฮาลองบก นิงห์บิงห์
ฮาลองบกคืออะไร คงได้คำตอบจากภาพชุดนี้ หลายคนที่เห็นบรรยากาศแล้วคิดว่าคงอยากเที่ยวกัน เพราะจะได้สัมผัสธรรมชาติและชนบทของเวียดนามอย่างแท้จริง
เมืองนิงห์บิงห์ที่กำลังพาเที่ยวอยู่นี้เป็นเมืองชนบทเล็กๆของกรุงฮานอย หรือ เมืองหลวงของเวียดนาม
ฮานอยมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติสำคัญได้แก่ฮาลองเบย์ หรืออ่าวฮาลอง ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกมาเมื่อ 17 ปีมานี้เอง คนไทยรู้จักอ่าวฮาลองมากขึ้นนับจากเวียดนามเริ่มเปิดประเทศใหม่ๆ หรือหลังรวมเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้เข้าด้วยกัน ขณะเดียวกันก็มีภาพยนต์สารคดีท่องเที่ยวเรื่องอ่าวฮาลองออกสู่สายตาชาวโลกพร้อมๆกับสถานท่องเที่ยวอื่นๆของเวียดนาม
ทุกวันนี้บริเวณท่าเรือฮาลองมีความคึกคักและเนืองแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวนับเป็นจำนวนหลายหมื่นคนในแต่ละวัน จนบางครั้งเรือท่องเที่ยวไม่พอให้บริการ
ฮาลองเบย์หากเปรียบเทียบกับบ้านเราก็คล้ายๆกับอ่าวพังงา หรือหมู่เกาะพังงา แต่อ่าวฮาลองของเวียดนามมีพื้นที่กว้างขวางกว่านับสิบๆเท่า และยังมีเกาะเล็กเกาะน้อยอีกนับเป็นพันๆเกาะ บริเวณนี้อ่าวฮาลองจึงปลอดจากคลื่นลูกใหญ่ๆและพายุฝนที่ซัดเข้าเวียดนามเป็นประจำทุกปี
ส่วนฮาลองบก เป็นชื่อที่คนไทยตั้งฉายาให้ เพราะแตกต่างกับการเที่ยวฮาลองเบย์ที่ต้องนั่งเรือท่องเที่ยวขนาดจุผู้โดยสารราว 60-70 คน แต่ฮาลองบกนี้ตรงกันข้ามเพราะใช้เรือแจวขนาดเล็กๆนั่งได้ราว 3-4 คน โดยมีชาวบ้านเป็นคนพาย ต่างกับบ้านเราที่ส่วนใหญ่นิยมใช้เรือหางยาว มีเสียงดัง และหนวกหูมาก
เรือแจวหรือเรือพายของเวียดนามค่อนข้างแปลกกว่าที่อื่นๆ เรือแต่ละลำจะมีไม้พายขนาดใหญ่ 2 ข้าง ผูกยึดไว้กับกาบเรือ เวลาพายจะต้องโยกไม้พายไปข้างหน้าพร้อมๆกันทั้งสองข้าง เรือแจวแบบนี้คล้ายเรือแคนูของยุโรป ต่างกันตรงที่เรือแคนูจะนั่งกลับหลัง ส่วนเรือแจวของเวียดนามจะนั่งหันหน้าไปตามปกติ ที่แปลกกว่าเรืออื่นๆตรงที่หากคนพายเมื่อยมือก็จะใช้เท้าแทน ได้ยินว่าการใช้เท้าจะทุ่นแรงกว่าการใช้มือ
เรือแจวที่ฮาลองบกเป็นเรือลำเล็กๆแบบชาวบ้าน ไม่ได้ดัดแปลงอะไรเป็นพิเศษ และไม่มีหลังคา ฝนตกก็สนุกสนานกันตามระเบียบ
วันนั้นหลังทานข้าวกลางวันเสร็จก็ออกมาอยู่ลานกว้างเพื่อเตรียมลงเรือ ปรากฏว่าเจอทั้งฝนและลมค่อนข้างแรง แต่มีบริการร่มและเสื้อกันฝนขายในราคาถูกประเภทใช้ครั้งเดียวแล้วต้องทิ้งเพราะมันบอบบางมาก โดยเฉพาะร่มที่เป็นของนำเข้าจากจีน ต้องบอกว่าห่วยมาก เจอลมแรงเข้าหน่อยมันก็กระดกลู่ตามลมเฉยเลย เรียกว่าหงายเก๋งไม่เป็นท่า แถมโครงลวดหักหลุดลุ่ย ในที่สุดก็ต้องใช้มือคอยช่วยจับร่มที่พิกลพิการ
ส่วนเสื้อฝนก็บางแสนบาง ประมาณว่าหนากว่าถุงก๊อปแก๊ปขึ้นมาหน่อย แต่พอใส่แล้วปรากฏว่ากระดุมใช้ไม่ได้ พยายามแล้วพยายามอีก ในที่สุดมันก็ขาด จึงต้องทำใจยอมใส่มันทั้งอย่างนั้น อย่างน้อยๆก็พอช่วยปกปิดไม่ให้กล้องเปียกฝน
งานนี้เลยทุลักทุเลพอสมควร
พอเรือออกสู่ที่โล่ง ทั้งลมและฝนก็สาดเป็นระรอกจนต้องเก็บกล้อง นานๆจึงจะหยิบออกมาถ่ายสักครั้ง ถ่ายเสร็จก็ต้องรีบเช็ด ดีที่พกผ้าเช็ดหน้าติดกระเป๋ากล้องไปด้วย จึงพอแก้ขัดใช้บังฝนไปได้บ้าง
ภาพจากฮาลองบกที่เห็นในชุดนี้ถือว่าได้ภาพน้อยกว่าที่ควรจะเป็น แต่ก็ยังพอให้เห็นบรรยากาศในบริเวณนั้นว่าน่าสนใจเพียงใด และต้องบอกก่อนว่า พื้นน้ำที่เห็นเป็นทะเลสาบนั้นก็คือทุ่งนาดีๆนี่เอง แต่เนื่องจากช่วงนี้เป็นฤดูน้ำหลากจึงดูคล้ายทะเลสาบ น้ำลดเมื่อไหร่ชาวบ้านเค้าก็จะลงมือทำนา
จากทะเลสาบก็จะมีทุ่งนาขึ้นมาแทน ปรากฏการณ์ของธรรมชาติเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี นอกจากนี้ช่วงน้ำหลากชาวนาก็ยังมีรายได้พิเศษจากการพายเรือรับ-ส่งนักท่องเที่ยว โดยคณะกรรมการชุมชนได้จัดระเบียบให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วม เป็นการการจายรายได้ให้ทัดเทียมเท่ากัน
ฮาลองบกหากมาในช่วงต้นข้าวโตเต็มที่ จะเป็นภาพที่สวยงามไปอีกแบบหนึ่ง ใครอยากเห็นทะเลสาบกลายเป็นทุ่งนาก็ต้องสอบถามหาข้อมูลกันให้ดีๆ จะได้มาเที่ยวแล้วไม่ผิดหวัง ทางที่ดีน่าจะมาแบบแบคแพคหรือมากันเอง จะได้มีเวลาถ่ายภาพได้มากขึ้น
ปัจจุบันเข้าใจว่าทุกอย่างน่าจะเข้ารูปเข้ารอยมากขึ้น ทั้งเรื่องพาหนะการเดินทางและเรื่องที่พัก ระยะทางราว 100 กม.จากกรุงฮานอย ถือว่าไม่ไกลนัก นั่งเครื่องจากสุวรรรภูมิมาถึงฮานอยราว 11 โมงเช้า เที่ยวและนอนค้างที่ฮานอยสักคืน แล้วเดินทางต่อไปที่นิงห์บินห์ จะเหมาแท็กซี่ไปก็ไม่แพงมากนัก ไปถึงนิงห์บิงห์แล้วมีที่เที่ยวแบบชนบทมากมาย หรือเช่าจักรยานเที่ยวประเภท Trekking tour ขี่จักรยานเที่ยวไปในชนบทแล้วได้รู้ได้เห็น และได้สัมผัสกับคนเวียดนามได้อย่างใกล้ชิด ธรรมชาติก็สวยงาม น่าเที่ยวมาก ใครไปเห็นแล้วก็อยากให้เวียดนามมีสภาพเช่นนี้ไปอีกนานๆ ,เพราะหาไม่ได้อีกแล้วในย่านนี้ นาข้าวสุดลูกหูลูกตาจะหาได้ที่ไหน น้ำท่าก็สมบูรณ์
ประเทศเวียดนามมีเสน่ห์ก็ตรงที่มีความเป็นธรรมชาติในทุกหนทุกแห่ง การทำนายังเป็นอาชีพหลัก และทำกับแบบดั่งเดิมโดยไม่พึ่งพาเครื่องทุ่นแรง
มาเที่ยวฮาลองบกช่วงนี้เห็นแต่ทะเลสาบ แต่พอมาอีกช่วงหนึ่งพื้นที่เหล่านี้จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวของต้นข้าว ใครอยากเห็นภาพตามตัวอย่างจากบางเว็บไซต์ก็ต้องรอให้ถึงช่วงเวลานั้น
ระดับน้ำที่เห็นในทะเลสาบนี้ความจริงแล้วสูงราว1 - 2 เมตรเท่านั้นเอง ขณะนั่งเรือก็ยังเห็นต้นหญ้าอยู่เบื้องล่าง มาเที่ยวที่นี่แล้วจึงไม่ต้องกังวลว่าจะตกเรือจมน้ำ เพราะไม่ลึกจนเกินไป แต่เพื่อความปลอดภัยเจ้าหน้าที่ก็ยังต้องคอยระวัง โดยพายเรือปะปนไปกับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะวันนี้ที่ถือว่าน่าเป็นห่วงกว่าวันอื่นๆ มีรายงานว่าศูนย์กลางของพายุช้างสารกำลังเคลื่อนผ่านเมืองนี้
มาคราวนี้เจอทั้งลมและฝนชนิดสะใจมาก ได้อรรถรสทั้งกายและใจเลยทีเดียว เป็นประสบการณ์ที่หลายคนอาจไม่ได้เจอ เพราะพายุฝนที่เห็นนี้ดูทีท่าว่าจะแรงขึ้นเรื่อยๆ นี่คงเป็นการทักทายของพายุ “ช้างสาร” ที่กำลังจะมาเยื่อนเมืองนิงบินห์และเมืองอื่นๆที่อยู่ในแนวเดียวกัน
เที่ยวฮาลองบก ทำให้เห็นสภาพชีวิตความเป็นอยู่ชาวนาของเวียดนามว่ามีวิถีชีวิตที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ โดยเฉพาะเรื่องน้ำที่ถือว่าเป็นหัวใจหลักของอาชีพเกษตรกรรม เป็นความอุดมสมบูรณ์ที่ได้เปรียบกว่าประเทศอื่นๆมาก คนเวียดนามจึงคุ้นเคยกับเรื่องฝนฟ้า รวมไปถึงพายุรุนแรงที่มักมาเยือนกันเป็นประจำทุกปี
เราเคยคิดว่าเมืองไทยเราอุดมสมบูรณ์กว่าประเทศอื่นๆในภูมิภาคนี้ แต่ถ้าหากมีโอกาสมาเที่ยวเวียดนามแล้วคงต้องปรับเปลี่ยนความเชื่อนี้กันใหม่ เพราะไปทางไหน และไม่ว่าเมืองไหนๆของเวียดนามก็มีแต่ความอุดมสมบูรณ์
เมืองไทยสภาพที่ดูเป็นชนบทแบบเมืองนิงห์บิงห์นี้มันกลายเป็นอดีตที่ผ่านพ้นไปหลายสิบปีแล้ว หรือยุคสมัยที่บ้านเรือนในชนบทยังมุงหลังคาบ้านด้วยหญ้าคาหรือมุงจาก มีกองฟางอยู่ปลายทุ่ง และปล่อยไอ้ทุยให้เล็มหญ้าอยู่ในคอกเล็กๆภายในบ้าน ยามค่ำคืนก็สุมไฟไล่ยุง นี่เป็นภาพในอดีตที่เราไม่สามารถย้อนกลับไปได้
แต่เวียดนามเป็นประเทศยังไม่เติบโตเท่าประเทศไทย จึงยังพบเห็นภาพชนบทแบบดั่งเดิมกันได้ในหลายๆแห่ง เรียกว่าไม่ว่าจะไปเมืองไหนๆก็ต้องเจอ
นั่งฮาลองบกคราวนี้ถือว่าสัมผัสธรรมชาติกันอย่างเต็มอิ่มท่ามกลางสายฝน จนทางท่าเรือต้องหยุดให้บริการหลังจากที่คณะของเราออกจากฝั่งได้ไม่นาน จะเรียกว่าเป็นชุดสุดท้ายก็ว่าได้ เพราะช่วงขากลับปรากฏว่าไม่มีเรือนักท่องเที่ยวแล่นสวนมาแม้แต่ลำเดียว ส่วนที่เห็นกลุ่มใหญ่ในช่วงแรกๆนั้น พวกเค้ากำลังพายเรือกลับเข้าฝั่งกัน
การล่องฮาลองบกที่นิงห์บิงห์บริเวณนี้เรียกว่า Tam Coc แปลว่า 3 ถ้ำ (Tam แปลว่า 3 Coc แปลว่าถ้ำ ) ระหว่างทางเรายังมีโอกาสลอดถ้ำที่มืดสนิท และไม่มีไฟฉายส่องทาง ถือว่าเป็นความชำนาญของชาวบ้านที่พายเรือให้เรานั่ง
ยังมีอีกแห่งหนึ่งที่มีสภาพใกล้เคียงกัน หรือฮาลองบกแห่งที่สอง และพึ่งเปิดบริการเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ มีชื่อว่า Hoa Lu อยู่ห่างกับ Tam Coc ราว 2 กม. หรืออยู่คนละด้านของภูเขาของเขตอุทยานแห่งเดียวกัน สภาพทั่วๆไปคงไม่ต่างกับแห่งแรกมากนัก แต่อนาคตหากมีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นก็คงเป็นที่นิยมไม่แพ้กัน
การล่องเรือพายชมธรรมชาติท่ามกลางขุนเขาและทะเลสาบน้ำตื้น ที่สมบูรณ์แบบนี้ คงหาชมได้ยากสำหรับประเทศอื่นๆ หรืออาจมีที่นี่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น
การที่เวียดนามนำเอาวิถีชีวิตแบบพื้นบ้านหรือฮาลองบกนี้มาเป็นจุดขายเพื่อการท่องเที่ยว เป็นการอาศัยความได้เปรียบทางธรรมชาติมาช่วยสร้างรายได้ให้ชาวบ้านในชนบท หากมองเผินๆแล้วแทบไม่ต้องลงทุนอะไรมากเลย ขณะเดียวกันก็สอดคล้องกับการท่องเที่ยวในเชิงอนุรักษ์ ในช่วงที่เกิดภาวะโลกร้อน