คลังบทความของบล็อก

ล่าสุด

มุยเน่ ดินแดนทะเลทรายสีแดง


เมืองมุยเน่ (Mui Ne) ตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลของจังหวัดบิ่ญถ่วน (Binh Thuan) ในภูมิภาคภาคกลางตอนใต้ ของประเทศเวียดนาม ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองโฮจิมินห์ ประมาณ 230 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง

          เมืองแห่งนี้มีชื่อเสียงในเรื่องของชายหาดทอดยาว สวยงาม และเงียบสงบ บริเวณชายหาดยาวประมาณ 10 กิโลเมตร ร่มรื่นไปด้วยต้นมะพร้าวริมชายหาดมากมาย ชาวบ้านยังคงมีวิถีชีวิตแบบเรียบง่าย มีอาชีพหลักคือการทำประมง ภาพของเรือหาปลาที่ออกล่องลอยไปกลางทะเลในรุ่งสาง และกลับมายังฝั่งในยามเย็น เป็นภาพที่ปรากฏที่นี่ทุกวัน ทำให้ชายทะเลมุยเน่มีบรรยากาศผ่อนคลาย น่าพักผ่อน มีโรงแรม ที่พัก รีสอร์ทมากมาย รวมทั้งร้านอาหารทะเลริมทะเลบรรยากาศสุดโรแมนติก ที่แห่งนี้จึงกลายเป็นสถานที่พักตากอากาศในฝันของชาวเวียดนามและนักท่องเที่ยวต่างชาติ

พระราชวังฤดูร้อนจักรพรรดิบ๋าวได๋ เมืองดาลัด


• พระราชวังฤดูร้อนของจักรพรรดิเบ๋าได๋
• พระราชวังฤดูร้อนของจักรพรรดิเบ๋าได๋ ตั้งอยู่นอกเมืองดาลัดไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 5 กิโลเมตร พระราชวังของกษัตริย์องค์สุดท้ายของเวียดนาม ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 5 ปี โดยเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2476 ภายในตัวอาคารมีห้องภาพขของพระเจ้าเบ๋าได๋ พระมเหสี พระโอรส พระธิดา มีห้องสำหรับทรงงานแต่บนโต๊ะสำหรับทรงงานกลับมีโทรศัพท์วางไว้สองเครื่อง อีกเครื่องคาดว่าจะเป็นของเหวียนวันเทียว อดีตประธานาธิบดีของเวียดนามใต้ หลังจากพระเจ้าเบ๋าได๋เสด็จออกจากประเทศเวียดนามเพื่อไปพำนักอยู่ในประเทศฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ส. 1975 พระราชวังแห่งนี้จึงกลายเป็นที่พำนักของเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์

• น้ำตกดาตันลา Datanla
• น้ำตกดาตันลา Datanla อยู่ห่างจากตัวเมืองดาลัดไปทางทิศใต้ประมาณ 5 กิโลเมตร เป็นน้ำตกที่ไม่ใหญ่แต่มีความงดงามด้วยสภาพแวดล้อมทำให้มีนักท่องเที่ยวมาเยือนจำนวนมากเนื่องจากอยู่ริมถนน ที่จอดรถสะดวกสบายและยังมีร้านอาหารไว้คอยบริการ
• ใครที่ชอบความตื่นเต้นอย่าพลาดกับโปรแกรมน้ำตกดาตันลา (Datanla) เพราะว่าการที่จะเข้าไปชมน้ำตกเราต้องนั่งรถราง (Roller Coaster) ลงไป นั่งกันคันละสองคน (จะนั่งคนเดียวก็ได้) คนนั่งหน้าจะเป็นคนถ่ายรูปคนนั่งหลังทำหน้าที่เบรก ไม่อันตรายครับ ระหว่าเส้นทางก็จะผ่านผืนป่า สำหรับคนชอบความมันส์ แนะนำเทคนิคการขี่ว่าให้เราทิ้งช่วงระยะห่างกับคันข้างหน้าเยอะๆหน่อย แล้วก็ปล่อยลงไปแบบไม่ต้องเบรกครับ จะได้เพิ่มความเร็วขึ้นมาได้ รถจะไปจอดให้เราลงไปชมน้ำตก ซึ่งน้ำตกมีหลายชั้น ขากลับขึ้นจากน้ำตกเราก็ขึ้นรถรางกลับขึ้นมาที่เดิมจุดที่เราลงไป

• น้ำตกช้าง ตั้งอยู่นอกเมืองไปทางหมู่บ้านปลูกกาแฟ จัดเป็นน้ำตกที่มีความสวยงามแห่งหนึ่งในดาลัด ตัวน้ำตกมีความสูงราว ๆ 30 – 40 เมตร ทำให้บริเวณด้านล่างเต็มไปด้วยละอองน้ำที่ฟุ้งกระจายไปทั่ว แต่ในฤดูฝนจะไม่สามารถลงไปชมความงามด้านล่างน้ำตกได้ เนื่องจากมีน้ำหลากและอันตราย บริเวณด้านหน้าของน้ำตกมีร้านอาหารเล็ก ๆ และมีกาแฟสดสูตรพิเศษที่คั่วกันแบบสด ๆ ตามแบบฉบับของดาลัดไว้บริการ

ดาลัด เครซี่เฮ้าส์ Crazy House


Crazy House (เครซี่เฮาส์) หรือ  Hang Nga Guesthouse ซึ่งนอกจากจะเป็นที่พักแล้ว ที่นี่ยังเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวของเมืองดาลัด ประเทศเวียดนามอีกด้วย  โดยเริ่มเปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2014 มาจนถึงปัจจุบัน  ด้วยรูปทรงที่ประหลาดของอาคารทำให้ที่นี่เป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวหนึ่งของเมืองดาลัท

ทางผู้สร้างและออกแบบได้กล่าวไว้ว่า สำหรับที่ Crazy House (เครซี่เฮาส์) นี้ ผู้เข้าชมจะรู้สึกเหมือนได้ไปเยือนดินแดนมหัศจรรย์อย่างใน Alice in wonderland ด้วยรูปร่างที่แปลกประหลาดในส่วนต่างๆ ของปราสาท บ้างมีแผ่นเหล็กแมงมุมยักษ์ที่ปากทางเข้าระหว่างตึก  ตัวปราสาทสร้างด้วยคอนกรีต รูปแบบตึกเป็นใยแมงมุม ต้นไม้ ถ้ำ ทั้งหมดดูแปลกตาไปหมด

บ้านรูปทรงแปลกประหลาดนี้ กับชื่อ Crazy House (เครซี่เฮาส์)  จึงถือว่ามันเป็นชื่อที่เหมาะสมจริงๆ ด้วยการออกแบบที่แปลกตา ภายในห้องพัก แต่ละห้องออกแบบและตกแต่งแตกต่างกัน นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยที่นี่จึงนิยมเข้ามาถ่ายภาพกัน กับหารออกแบบประหลาด ด้วยรูปทรงที่ไม่มีรูปแบบตายตัวและบางจุดก็เพิ่มความตื่นเต้นหวาดเสียว ให้แก่ผู้เข้าชมด้วย สะพานปูนเล็กๆ บนหลังคาที่พัก เป็นความแปลกที่สร้างความตื่นเต้นให้นักท่องเที่ยวได้ไปยืนถ่ายรูปกัน แต่ก็ต้องระมัดระวังกันด้วย เพราะถ้าตกลงไปละแย่แน่ๆ

Crazy House (เครซี่เฮาส์) นี้มีข้อห้ามคือ ห้ามขึ้นไปนั่งบนเตียงนอน เมื่อเราเข้าชมห้องพักต่างๆ  เพราะที่นี่เปิดเป็นที่พักด้วย   สำหรับการพักที่นี่อาจจะเหมาะกับคนที่ไม่ชอบความพลุกพล่าน ชอบเงียบๆ ซักนิด เพราะอยู่ห่างจากตลาดพอสมควร ต้องซื้อของกินเข้ามาก่อนด้วย Crazy House (เครซี่เฮาส์) อยู่ห่างจากตลาดสดเมืองดาลัทระยะทางไม่เกิน 2 กิโลเมตร   ซึ่งหากจะเดินไปก็ใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง   ราคาที่พักเริ่มต้นที่ ห้องละ 25$ ขึ้นอยู่จำนวนผู้เข้าพักและแบบห้องพักซึ่งในแต่ละห้องแตกต่างกัน

นั่งกระเช้าเมืองดาลัด วัดตั๊กลัม Truc Lam


• วัดตั๊กลัม (Thien Vien Truc Lam)
• วัดตั๊กลัม (Thien Vien Truc Lam) ที่นี่คือวัดพุทธในนิกายเซน (ZEN) แบบญี่ปุ่น มหายานค่ะ ซึ่งแม้จะเป็นพุทธเช่นนิกายเถรวาทแบบบ้านเรา แต่ธรรมเนียมปฏิบัติหลายๆ ก็มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง
• นิกายเซ็น (Zen) เป็นนิกายหนึ่งในพระพุทธศาสนา อยู่ในฝ่ายมหายาน แต่มีความคล้ายคลึงกับเถรวาทในสายพระป่า เซ็นไม่นิยมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรืออิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ เซ็นจะเน้นการฝึกปฏิบัติ ฝึกการใช้ปัญญา และสมาธิ เพื่อให้ เกิดพุทธิปัญญาจนเข้าใจหลักธรรมด้วยตนเอง นับถือกันในแถบเอเชียตะวันออก (จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลี)
• เซน มีต้นกำเนิดจากประเทศอินเดีย จากนั้นถูกเผยแพร่มาสู่จีน เกาหลีและญี่ปุ่น โดยได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิขงจื๊อและลัทธิเต๋า ในช่วงระหว่างที่เผยแผ่มาสู่ญี่ปุ่น การฝึกตนของนิกายเซน เน้นที่การนั่งสมาธิเพื่อการรู้แจ้ง
• เซน ยึดถือหลักปฏิบัติธรรมตามหลักของพระพุทธเจ้า ตามหลักของการฝึกสติ อริยสัจ 4 และมรรค 8 เซน ได้รับการยอมรับจากบุคคลที่ไม่ใช่พุทธศาสนิกชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลนอกทวีปเอเชีย ที่สนใจในเซนสามารถศึกษาและปฏิบัติธรรมได้ และได้เกิดนิกายสายย่อยออกมาที่เรียกว่าคริสเตียนเซน

• เจดีย์มังกร (dragon pagoda)
• เจดีย์มังกร(dragon pagoda) เจดีย์มังกรอยู่ 7 ชั้น ตั้งอยู่ที่เมืองดาลัด วัดนี้เป็นวัดศานาพุทธศาสนนิกายเซนในแบบของชาวเวียดนาม มีจุดเด่นในการใช้เซรามิคหลากหลายสีสัน เป็นศิลกรรมเฉพาะตัว



สวนดอกไม้เมืองหนาวดาลัด


• สวนดอกไม้เมืองหนาว Flower Park
• สวนดอกไม้เมืองหนาวดาลัด ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของทะเลสาบชวนฮวาง บนถนนฟูดงเตียนหวุง ดาลัดได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองแห่งดอกไม้ ที่นี่จะมีดอกไม้บานสะพรั่งตลอดปี สวนดอกไม้เมืองหนาวแห่งนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2409 เพื่อให้ปรึกษาด้านการเกษตรกรทางภาคใต้ ต่อมาได้ทำการรวมรวบพรรณไม้มากมายทั้งไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้ต้น และกล้วยไม้พันธุ์ต่าง ๆ ซึ่งกล้วยไม้ตัดดอกจำนวนมากถูกส่งออกจากดาลัด และนอกจากดอกไม้ พืชผักเมืองหนาวก้อสามารถปลูกได้ดีไม่แพ้กัน ทำให้ดาลัดเป็นแหล่งผลิตพืชผักเมืองหนาวของประเทศ

• โบสถ์โดเมนเดมารี (โบสถ์สีชมพู)
• โบสถ์โดเมนเดมารี (โบสถ์สีชมพู) ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาเตี้ย ๆ บนถนนโงเกวี่ยนตัวอาคารเป็นสีชมพู สร้างขึ้นในระหว่างปี พ.ศ. 2483 – 2485 โดยภริยาของผู้ว่าการอินโดไชน่าชาวฝรั่งเศส จากนั้นแม่ชีของทางคอนแวนต์เริ่มมีรายได้จากการการปลูกและขายพืชผักผลไม้ แต่ภายหลังได้เปลี่ยนให้เป็นสวนดอกเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เป็นคริสต์ศาสนิกชน และคนทั่วไป



เที่ยวดาลัด หุบเขาแห่งความรัก Velley Of Love


หุบเขาแห่งรัก Valley Of Love
• หุบเขาแห่งรัก อยู่ทางทิศเหนือของทะเลสาบมาฮวาง หรือที่ชาวเวียดนามเรียกกันว่าทุงหลุงติงห์เฉียว เป็นผืนป่าที่จักรพรรดิเบ๋าได๋เคยทรงเข้ามาล่าสัตว์ในสมัยก่อน มีลักษณะเป็นหุบเขามีทะเลสาบอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยเนินเขาเตี้ย ๆ ที่ปกคลุมด้วยต้นสน ก่อนจะเดินขึ้นไปยังทะเลสาบด้านบนจะเป็นสวนสนุกมีเครื่องเล่นมากมาย มีบริการขี่ม้าและถ่ายภาพเป็นที่ระลึก หรือจะเลือกปั่นจักรยานน้ำในทะเลสาบ ส่วนด้านบนเป็นร้านขายของที่ระลึก และมุมสงบสำหรับพักผ่อน

• นิทานแห่งความรัก
• นิทานแห่งความรัก (เรื่องแต่งขึ้นเป็นนิยายเพื่อให้เข้ากับชื่อหุบเขาแห่งความรัก) เล่ากันว่า สถานที่นี่เคยเป็นสถานที่แห่งความรักของหนุ่มสาวคู่หนึ่ง เรื่องราวความรักระหว่างนายทหารหนุ่มชาวดาลัดกับหญิงสาวผู้เป็นที่รัก โดยเหตุการณ์นี้เกิดในช่วงศตวรรษที่ 17 ซึ่งเป็นช่วงที่นายทหารผู้นี้ต้องไปทำการรบกับข้าศึกชาวจีนมองโกเลียที่มารุกรานเวียดนาม โดยทั้งสองคนได้สัญญาว่าเมื่อชายหนุ่มกลับมาพบกันตามเวลาที่นัดหมาย ก็จะแต่งงานกัน เมื่อถึงเวลานัด สาวเจ้าก็ไปรอนายทหารหนุ่มคู่รักที่หุบเขาแห่งนี้ แต่เผอิญทหารหนุ่มเกิดไม่ได้มาตามนัด สาวเจ้าก็เศร้าโศกเสียใจ คิดว่าคนรักตายในสนามรบซะแล้ว ก็เลยมาโดดหุบเขาฆ่าตัวตายที่นี่ สุดท้ายเมื่อนายทหารหนุ่มกลับมาและได้ข่าวว่าคนรักตัวเองโดดเขาตายไปเสียแล้ว เขาจึงฆ่าตัวตายตามไปในที่สุด



ดาลัด ปารีสตะวันออก เมืองแห่งดอกไม้


• ข้อมูลท่องเที่ยวดาลัด
• ดาลัดสวิสเซอร์แลนด์เวียดนาม เป็นเมืองเล็ก ๆ อยู่ในจังหวัดลามดงทางภาคใต้ตอนบนของเวียดนามสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกจากประเทศไทยโดยมีเที่ยวบินตรงสู่โฮจิมินห์ซิตี้ จากนั้นนั่งรถประจำทางจากโฮจิมินห์บริเวณสถานีขนส่งเมียงดอง มาตามเส้นทางเบียนฮวาระยะทางประมาณ 300 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ยังมีเที่ยวบินจากฮานอยบินตรงสู่ดาลัดด้วย
• การเดินทางในเมืองดาลัด
• ดาลัด ตั้งอยู่บนที่ราบสูงโอบล้อมไปด้วยทิวเขา การเช่าจักรยานปั่นจึงไม่ใช่วิธีที่ดีนักและไม่ค่อยเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยว เพราะสถานที่แต่ละแห่งนั้นอยู่ไกลจากกันวิธีที่ดีที่สุดคือการใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้างนั่งรถเที่ยวชมตัวเมือง หรือจะเช่าขี่เองซึ่งต้องใช้ความชำนาญเพราะรถค่อนข้างเยอะในเขตเมือง และนอกเมืองจะเป็นทางบนเขา
• เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขาปกคลุมด้วยทิวสน ทะเลสาบ และป่าไม้ที่ราบสูงลามเวียดที่อยู่ติดกับแม่น้ำกามลี มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 1,500 เมตร อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปี 17 องศษเซลเซียสนับเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่โรแมนติคที่สุดของเวียดนาม และได้รับอีกสมญานามว่า เมืองแห่งฤดูใบไม้ผลิชั่วนิรันดร์ จากความงดงามของภูมิประเทศนี้ทำให้ครั้งหนึ่งชนชั้นปกครองของฝรั่งเศสเคยคิดจะสร้างให้เมืองเล็ก ๆ ในหุบเขาแห่งนี้เป็นเมืองหลวงของสหพันธรัฐอินโดจีน ที่เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสในตอนปลายของศตวรรษที่ 19 แต่ภายหลังการสำรวจพื้นที่แล้วก้อไม่ได้จัดตั้งขึ้น แต่กลับทำให้เกิดการก่อตั้งศูนย์วิจัยทางการเกษตรและอุตุนิยมวิทยาขึ้นที่นี่

• ดาลัด ปารีสตะวันนออก เมืองแห่งดอกไม้
• ดาลัด ตั้งอยู่ในตลาดลามดง ทางภาคใต้ตอนบนของเวียดนาม ชื่อ ดาลัด มาจากคำ 2 คำ คือ ดา หมายถึง แหล่งกำเนิดหรือแม่น้ำกามลี ส่วนคำว่า ลัด เป็นชื่อของชนกลุ่มน้อยเผ่าหนึ่งที่อาศัยอยู่ที่นี่ เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขา ปกคลุมไปด้วยทิวสน ทะเลสาบ และป่าไม้บนที่ราบสูงลามเวียต ถัดจากแม่น้ำกามลี มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 1,500 เมตร อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 17 องศาเซลเซียส นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่โรแมนติคของเวียดนาม และได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองแห่งฤดูใบไม้ผลิชั่วนิรันดร์ จากความงดงามและเงียบสงบ ทำให้ครั้งหนึ่งชนชั้นปกครองชาวฝรั่งเศสเคยคิดจะสร้างให้เป็นเมืองหลวงของสมาพันธรัฐอินโดจีนที่เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ในตอนปลายศตวรรษที่ 19 แต่หลังจากสำรวจพื้นที่แล้วก็ไม่ได้จัดตั้งขึ้น แต่สร้างหม้เป็นศูนย์วิจัยทางการเกษตรและอุตุนิยมวิทยาขึ้นที่นี่

• สถานที่ท่องเที่ยวในดาลัด
• ทะเลสาบซวนฮวาง (Xuan Huong Lake)
• ที่ตั้ง : ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองดาลัด ในยุคอาณานิคมแห่งนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของสนามกอล์ฟที่สวยงามมากที่สุดของเวียดนาม แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นที่พักผ่อนและชมวิถีชีวิตของชาวดาลัดที่ผ่านทะเลสาบซวนฮวางตลอดทั้งวัน ซึ่งจะได้พบความน่ารักของชาวเมืองที่อยู่กันแบบสังคมเกษตร ซึ่งมีชีวิตที่เรียบง่ายไม่เร่งรีบ นอกจากนี้ยังมีวิวทิวทัศน์ของเมืองที่มีต้นสนแซมอยู่ทุกบริเวณได้รอบทิศทางอีกด้วย และชมพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาริมทะเลสาบ มีบริการให้เช่าจักรยานปั่นเล่น ร้านอาหารมากมาย เป็นบรรยากาศที่สุดแสนโรแมนติคมาก
• โบสถ์คริสต์ (Evangelical Church)
• ที่ตั้ง : ตั้งอยู่บนเนินเขาในย่านใจกลางเมืองใกล้กับไปรษณีย์กลางดาลัด บนถนนเหวียนวันโตรย (Nguyen Van Troi) โบสถ์สีชมพูอมส้มแห่งนี้ มองเห็นได้ชัดเจนจากทุกมุมของเมืองและเป็นเสมือนสัญลักษณ์์ของเมืองนี้ทีเดียว โบสถ์คริสต์แห่งนี้ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.1940 เป็นโบสถ์ของชาวคริสต์โปแตสแตนท์ จะโดดเด่นในด้านการก่อสร้างและตกแต่งสไตล์ตะวันออก
• โบสถ์โดเมนเดมารี (Domaine de Marie Convent)
• ที่ตั้ง : ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ บนถนนโงเกวี่ยน (Ngo Quyen) โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นระหว่างปี พ.ศ.2483 – 2485 ในปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยมาเยือนที่นี่ ทั้งที่เป็นคริสต์ชนและนักท่องเที่ยวทั่วไป
• พระราชวังฤดูร้อนของจักรพรรดิเบ๋าได่ (Bao Dai’s Summer Palace)
• ที่ตั้ง : ตั้งอยู่นอกเมืองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 5 กิโลเมตร พระราชวังฤดูร้อนของจักรพรรดิเบ๋าได่ จักรพรรดิองค์สุดท้ายของเวียดนาม ได้รับการออกแบบและปลุกสร้างอยู่ใต้ร่มเงาของทิวสนใหญ่ ซึ่งพระราชวังแห่งนี้ใช้เวลาการก่อสร้างถึง 5 ปี โดยเริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ.2476 ซึ่งภายในตัวตึกมีห้องภาพของพระเจ้าเบ๋าได่ พระมเหสี พระโอรส ธิดา และมีห้องสำหรับทรงงาน ในปี พ.ศ. 1975 พระเจ้าเบ๋าได่ เสด็จออกจากประเทศเวียดนาม ไปพำนักยังประเทศฝรั่งเศส พระราชวังแห่งนี้จึงกลายเป็นที่พักของเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์

• หุบเขาแห่งความรัก (Valley of Love)
• ที่ตั้ง : ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของทะเลสาบซวนฮวางมาราว 5 กิโลเมตร หุบเขาแห่งความรักหรือที่ชาวเวียดนามเรียกทุงหลุงติงห์เอียว มีลักษณะเป็นหุบเขาซึ่งมีวิวทะเลสาบ ล้อมรอบด้วยเนินเขาเตี้ยๆ ที่ปกคลุมด้วยไม้สน
• สวนพฤกษศาสตร์ดาลัด (Dalat Flower Gardens)
• ที่ตั้ง : ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของทะเลสาบซวนฮวาง บนถนนฟูดงเตียนหวุง (Phu Dong Thien Vuong)
ได้รับการสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2409 เพื่อให้คำปรึกษาแก่เกษตรกรภาคใต้ ดาลัดได้รับการขนานนามว่าเมืองแห่งดอกไม้ ที่นี่จึงมีดอกไม้บานสะพรั่งตลอดทั้งปี และหากจะต้องการเห็นพรรณไม้ของดาลัดก็ไปยัง สวนพฤกษศาสตร์ดาลัด ที่ได้รวบรวมพรรณไม้ไว้อย่างมากมาย ทั้งไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้ต้น และกล้วยไม้ ที่มีทั้งกล้วยไม้สายพันธุ์แท้และลูกผสม ซึ่งกล้วยไม้ตัดดอกทั้งหมดที่อยู่ในเวียดนามมาจากที่นี่ทั้งสิ้น และยังมีจำพวกผักเมืองหนาวด้วย ทำให้ที่นี่เป็นแหล่งพืชผักผลไม้ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของเวียดนาม
• น้ำตกดาตันลา (Datanla Waterfall)
• ที่ตั้ง : ตั้งอยู่นอกเมืองไปทางทิศใต้ประมาณ 5 กิโลเมตร น้ำตกดาตันลาเป็นน้ำตกที่ไม่ใหญ่มากแต่มีความสวยงามมาก เนื่องจากสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่เกื้อหนุนทำให้มีนักท่องเที่ยวแวะมาเที่ยวชมกันเป็นจำนวนมาก
• ทะเลสาบพาราไดซ์ (Pasradise Lake หรือ Tuyen Lam Lake)
• ที่ตั้ง : ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองดาลัดประมาณ 5 กิโลเมตร ทะเลสาบพาราไดซ์ หรือ ตู้เหยีนลัม เป็นสถานที่ที่เหมาะในการมาพักผ่อน สามารถมองเห็นทะเลสาบสีเขียวมรกตกับทิวสนที่ยืนต้นตระหง่านปกคลุมทุกขุนเขา การนั่งเคเบิ้ลคาร์ สามารถมองเห็นเมืองดาลัดได้ทั้งเมือง เห็นป่าอันงดงาม
• น้ำตกฟงกัว (Pongour Waterfall)
• ที่ตั้ง : อยู่ห่างจากดาลัดไปทางทิศใต้ประมาณ 55 กิโลเมตร น้ำตกฟงกัวจัดเป็นน้ำตกที่สวยงาสมที่สุดในเมืองดาลัด เนื่องจากสายน้ำที่ตกจากหน้าผาสูงกว่า 30 เมตร และกว้างกว่า 100 เมตร ซึ่งมีสายน้ำไหลลงมาจากหน้าผามหาศาลในช่วงฤดูฝน ส่วนในฤดูหนาวน้ำก็จะขาวใส หลังฝนตกใหม่ๆ สายน้ำจะนำตะกอนดินมาด้วยทำให้น้ำสีขุ่นบ้าง



หวุงเต่า สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง แหล่งท่องเที่ยวโฮจิมินห์


• หวุงเต่า เมืองชายทะเลอันแสนสงบ
• ที่ตั้ง อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ห่างจากโฮจิมินห์ 125 กิโลเมตร
• การเดินทาง มีรถโดยสารจากโฮจิมินห์ซิตี้ออกเดินทางทุกวัน สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สถานีตรงข้ามตลาดบินถั่น (Ben Thanh Market)
• ในศตวรรษที่ 15 ซึ่งเป็นช่วงที่เรือของพ่อค้าชาวโปรตุเกสได้มาทอดสมออยู่ในอ่าวหวุงเต่า นอกจากนี้สมัยที่อยู่ใต้อำนาจของฝรั่งเศสอ่าวนี้มีชื่อว่า อ่างแซงต์จ๊าคส์ (Cap Saint Jacques) เป็นที่พักตากอากาศชายทะเลที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เมืองท่าชายฝั่งและศูนย์กลางทางเศรษฐกิจแห่งนี้เป็นเขตอุตสาหกรรมก๊าชธรรมชาติและน้ำมันที่กำลังเติมโตของเวียดนาม
• หาดถุ่ยวัน (Thuy Van) เป็นหาดที่มีความงดงามและมีความยาวถึง 7 กิโลเมตร ไปตามชายฝั่งทะเลตะวันออก ถุ่ยวัน ได้รับความนิยมมากในหมู่ชาวพื้นเมืองและมีคนค่อนข้างหนาแน่นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
ถัดจากหาดทรายเข้าไปมีวัดและเจดีย์ในพุทธศาสนาอยู่กว่า 100 แห่ง ที่ที่ไม่ควรพลาดเลยคือ ลางกาอง (Lang Ca Ong) หรือวัดปลาวาฬ บนถนนฮวางฮวาทาม (Hoang Hoa Tham Avenue) วัดนี้สร้างในปี พ.ศ. 2454 เพื่ออุทิศให้กับลัทธิปลาวาฬ กลุ่มคนที่มาสถานที่นี้มากที่สุดคือชาวประมงซึ่งนับถือปลาวาฬในฐานนะที่เป็นผู้ช่วยชีวิตจากอันตรายในทะเลลึก โครงกระดูกปราวาฬที่ขึ้นมาเกยหาดแถบนี้ถูกเก็บไว้ในหีบใบใหญ่ บางโครงมีความยาวถึง 4 เมตร และบางโครงมาอายุตั้งแต่ปี พ.ศ. 2411
ชาวเวียดนามรับเอาลัทธิปลาวาฬมาจากคนที่อยู่ในอาณาจักรจามปา ผู้ซึ่งบูชาเทพเจ้าปลาวาฬ ทุกๆ ปีในวันที่ 16 ของเดือน 8 ตามจันทรคติ ชาวประมงจำมาชุมนุมกันที่วัดนี้เพื่อเซ่นสังเวยปลาวาฬ มีเกร็ดย่อยๆ นับพันเรื่องในนิทานพื้นบ้านของชาวเวียดนามที่เกี่ยวกับปลาวาฬ
• วิลล่าบลองเช่ (Villa Blanche หรือ วิลล่าขาว)
• ตั้งอยู่ ในบริเวณอันงดงามบนไหล่เขานุยเลิน สำหรับพบ้านพักตากอากาศแห่งนี้มีลักษณะโดดเด่นมาก ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ ที่สามารถมองเห็นเมืองได้เป็นอย่างดี และเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์อันตระการตาหรือหวุงเต่าอีกด้วย วิลล่านี้สร้างโดยผู้ปกครองชาวฝรั่งเศส ซึ่งมักจะเรียกกันว่าผู้สำเร็จราชการ พระเจ้าแถงห์ไท (Thanh Thai) เคยประทับอยู่ที่นี่ระหว่างปี พ.ศ. 2450 – 2459 จนกระทั่งพระองค์ถูกเนรเทศออกไปพร้อมกับพระเจ้ายวุยเติน (Duy Tan) โอรสของพระองค์ไปประทับอยู่บนเกาะรียูเนี่ยน (Reunion Island) ต่อมาวิลล่าแห่งนี้ได้กลายเป็นที่พักริมฝั่งทะเลของประธานาธิบดีเวียตนามใต้ 2 คน คือ เยียม และเทียว
ถนนเลียบชายฝั่งทะเลทางตะวันตกเฉียงใต้ของคาบสมุทร ที่เดิมเรียกกันว่ารูทเดอลาปะติทคอร์นิช (Route de la Petite Corniche) จะทอดตัวคดเคี้ยวไปตามความสูงต่ำของภูเขานุยเลิน ถัดไปคุณจะพบรูปปั้นพระเยซูสูง 30 เมตร ยืนทอดพระเนตรไปทางมหาสมุทรแปซิฟิก ตรงจุดใต้สุดของคาบสมุทรรูปหั้นนี้สร้างขึ้นโดยชาวอเมริกันใน ปี พ.ศ. 2514

• สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง
• ตามหลักฐานทางวิชาการกล่าวว่าดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงในสมัยโบราณเคยเป็นอาณาเขตของกัมพูชา มีภูมิประเทศเป็นหนองบึง และป่าไม้ ก่อนที่ชาวอาณานิคมพวกแรกที่เข้ามาทางทะเลจะมาถึงในศตวรรษที่ 16 ในสมัยที่อยู่ใต้การปกครองของขุนพลตระกูลเหวียนนั้น ได้มีการปรับปรุงสภาพหนองบึงผืนใหญ่ และสร้างเครือข่ายลำคลองเล็กๆ มากมาย จนปลายศาตวรรษที่ 18 ได้มีการขุดคลองใหญ่ขึ้น 2 สาย คือ คลองไทฮวา (Thai Hoa) ซึ่งเชื่อมเมืองร้ากยา (Rach Gia) กับเมืองลองเสวียน (Long Xuyen) และคลองวิงห์เต (Vinh Te) ซึ่งเชื่อมเมืองเจาด๊ก (Chau Doc)

• ล่องเรือสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง
• ที่ตั้ง : อยู่บริเวณปากแม่น้ำโขงทางทิศใต้ของโฮจิมินห์ซิตี้
นักท่องเที่ยวควรเลือกซื้อแพ็คเก็จแบบวันเดย์ทัวร์จะสะดวกกว่า การล่องเรือท่องเที่ยวบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง แนะนำให้ไปเที่ยวจังหวัดเตียงยาง (Tien Giang) ซึ่งเป็นเขตปลูกข้าวที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ
• หมี่โถ (My Tho) เมืองเอกของจังหวัดซึ่งมีประชากรราว 90,000 คน ตั้งอยู่บนฝั่งซ้ายของแม่น้ำมีโอ อันเป็นสาขาเหนือสุดของแม่น้ำโขง เมืองนี้ตั้งขึ้นช่วงทศวรรษที่ 1680 โดยผู้ลี้ภัยทางการเมืองจากไต้หวันและโฮจิมินห์ซิตี้ สามารถเดินทางมาเมืองนี้ได้อย่างสะดวกสบายโดยรถประจำทางใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง หรือโดยทางเรือซึ่งจะกินเวลาประมาณ 6 ชั่วโมง
ลงเรือที่ท่าเรือของเมืองหมี่โถ เพื่อจะเดินทางไปท่องเที่ยวชมความหลากหลายของชีวภาพของเกาะต่างๆ ที่อยู่กลางแม่น้ำโขง คนท้องถิ่นเรียกว่า แม่น้ำเตียน ซึ่งจะมีไกด์บรรยายทันทีเมื่อเรือออกจากฝั่งแล่นผ่านเกาะต่างๆ ในแม่น้ำ โดยบรรยายถึงประวัติความเป็นมาของแต่ละเกาะ วัฒนธรรม ประเพณี อาชีพ การดำรงชีวิต ความเป็นอยู่ของชาวบ้านบนเกาะ
• จากฝั่งเมืองหมี่โถประมาณ 30 นาที จะถึงเกาะยูนิครอน เป็นเกาะขนาดใหญ่กลางแม่น้ำโขง มีความกว้างประมาณ 1 กิโลเมตร และมีความยาวประมาณ 11 กิโลเมตร มีผู้คนอาศัยอยู่ อาชีพหลักของคนบนเกาะนี้คือการเกษตรปลุกผลไม้ต่างๆ เช่น ลำไย กล้วยไข่ ละมุด เงาะ มะละกอ สัปปะรด มะพร้าว มีจุดสาธิต แสดงผลผลิตและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของชาวบ้าน มีผลิตภัณฑ์ลูกอมกะทิและผลไม้อบแห้งต่างๆ และหัตถกรรมพื้นบ้าน ที่ทำจากต้นมะพร้าวอายุกว่า 100 ปี มีการบริการน้ำส้มคั้นผสมน้ำผึ้ง และเหล้าดองสมุนไพรให้บริการนักท่องเที่ยวพร้อมฟังดนตรีบรรเลงพื้นเมืองด้วย

อุโมงค์กู่จี เมืองใต้พิภพ สุดยอดแห่งภูมิปัญญา


• อุโมงค์กู่จี : เมืองใต้พิภพ
• ตั้งอยู่ : อำเภอกู่จี อยู่ห่างจากโฮจิมินห์ซิตี้ประมาณ 40 กิโลเมตร
• สำหรับอุโมงค์กู่จี่เปรียบเสมือนที่มั่นหลักและที่มั่นสุดท้ายของทหารเวียกง ซึ่งเป็นกองกำลังของเวียตนามใต้ที่ไม่พอใจและต่อต้านรัฐบาล โดยได้รับการจัดตั้งก่อสร้างขึ้นโดยคอมมิวนิสต์เวียตนามเหนือ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการสู้รบในสมรภูมิเวียตนามใต้ การขยายกำลังของเวียดกงเป็นไปอย่างรวดเร็วจากการจัดตั้งปี พ.ศ. 2507 กองกำลังเวียดกงได้ขยายเป็นกว่า 30,000 คน
•  การจัดโครงสร้างของเวียดกงแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ กำลังหลักปฏิบัติการ ภายใต้การบังคับบัญชาของคอมมิวนิสต์ใต้ (เวียตนาม) กองโจรเต็มรูปแบบ จัดกำลังขนาดกองร้อยทำงานกันในระดับจังหวัด และ กำลังทหารบ้านป้องกันตนเอง ซึ่งประกอบด้วยหน่วยขนาดหมู่และหมวดซึ่งมีหน้าที่ในการป้องกันหมู่บ้าน โดยหลักการแล้วเวียดกงถือว่าเป็นกำลังกองโจร ไม่มีเครื่องแบบ การแต่งกายจะใช้เสื้อผ้าแบบชาวบ้านทั่วไป แล้วแฝงตัวให้เข้ากับพื้นที่เมื่อภารกิจสำเร็จ เวียดกงจะใช้ยุทธวิถีตีหัวเข้าบ้าน
•  เวียดกงได้รับชัยชนะอย่างงดงามในปี พ.ศ. 2506 เมื่อสามารถสร้างความสูญเสียอย่างมากต่อทหารเวียตนามใต้ เวียดกงยังมีส่วนร่วมสำคัญต่อปฏิบัติการรุก โดยเข้าโจมตีอำเภอและเมืองต่างๆ ของเวียตนามใต้ เมื่อต้นปี พ.ศ.2511ในเวลาต่อมากองทัพประชาชนเวียตนามเหนือ ได้เข้ามามีบทบาทแทนที่เวียดกง จนสิ้นสุดสงครามใน ปีพ.ศ. 2518 เวียตนามรวมตัวกันได้เป็นหนึ่งเดียว เวียดกงจึงลดบทบาทลง โดยหลังสงคราม ทหารเวียดกงที่เหลือได้ถูกรวมเข้ากับกองทัพประชาชนเวียตนาม
• การเดินทาง : จากโฮจิมินห์ ไม่มีรถโดยสารไปยังอุโมงค์กู่จี ให้ซื้อแพ็กเก็จแบบวันเดย์ทัวร์ ซึ่งจะได้เที่ยวจุดอื่นๆ ด้วย กู่จี เป็นชื่อของอำเภอและยังเป็นชื่ออุโมงค์ใต้ดิน ที่พวกเวียดกงใช้เป็นฐานบัญชาการรบ โรงพยาบาล และหมู่บ้านใต้ดิน ซึ่งที่นี่ก็เป็นอีกสิ่งที่หนึ่งที่ทำห้กองกำลังเวียดกงชนะในการรบ สำหรับโครงข่ายใต้ดินแห่งนี้มีความยาวกว่า 200 กิโลเมตร และเป็นสมรภูมิรบพื้นที่ที่น่ากลัวที่สุดอีกแห่งหนึ่งของสงครามเวียตนาม เพราะโดนทั้งสารเคมีและสารพิษต่างๆ ที่ใช้พ่นลงไปในอุโมงค์ โดยเฉพาะฝนเหลืองที่ทหารอเมริกันนำมาโปรยเพื่อกำจัดต้นไม้เพื่อจะได้เห็นตัวฝ่ายตรงข้ามได้ง่าย จนทำให้พื้นที่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้กลายเป็นพื้นที่โล่งเตียน เป็นสาเหตุให้ทหารเวีดตกงต้องลงไปบัญชาการในอุโมงค์ใต้ดิน
• ปัจจุบันมีการเปิดสมรภูมิเลือดแห่งนี้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยมีเจ้าหน้าที่พาเดินไปยังจุดสำคัญและสามารถมุดลงไปถึงชั้นสามของอุโมงค์ เส้นทางคดเคี้ยวและมืดมาก แม้ว่าจะมีการปรับปรุงให้สว่างขึ้น ก็ควรจะพกไฟฉายติดตัวไปด้วย ส่วนบริเวณโดยรอบของอุโมงค์แห่งนี้ ยังคงเหลือซากแห่งสงคราม อาทิ รถถัง เครื่องบิน วัตถุระเบิด และหลุมระเบิดขนาดใหญ่ซึ่งกลายเป็นบ่อเลี้ยงปลาไปแล้ว

นครโฮจิมินห์ แหล่งท่องเที่ยวโฮจิมินห์ซิตี้


• จัตุรัสโฮจิมินห์ (Tran Nguyen Hai Statue)
ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองโฮจิมินห์ จุดเริ่มต้นของการเดินทางท่องเที่ยวในเมืองโฮจิมินห์ แนะนำให้มาเริ่มตรงใจกลางแห่งนี้ เพราะสามารถไปยังจุดอื่นๆ ได้ง่าย โดยจุดนี้จะมีรูปปั้นของอดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์ กับเด็กๆ ด้านหลังเป็นศาลาว่าการเมือง ซึ่งดูแปลกตาในสไตล์ฝรั่งเศส ถ้ามองจากตรงนี้สามารถมองให้เห็นถึงความจอแจของเมืองใหญ่ เพราะที่นี่นอกจากจะเป็นศูนย์กลางของเมืองแล้ว ยังเป็นศูนย์กลางของการค้าอีกด้วย คล้ายกับสีลมของเมืองไทย แต่รถไม่ติดเพราะที่เมืองนี้มีรถยนต์น้อย มีรถมอเตอร์ไซด์มากกว่า เวลาข้ามถนนต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
• ตลาดบินถั่น (Ben Thanh Market)
ตั้งอยู่บนถนนเลเลย (Le Loi) ใกล้ๆ กับจัตุรัสโฮจิมินห์ ได้รับการก่อสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2457 บนพื้นที่ประมาณ 1 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมีหอนาฬิกาอยู่ด้านหน้าเป็นสัญลักษณ์ ตลาดแห่งนี้ได้รับความนิยมอย่างมากทั้งจากคนพื้นเมืองและนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพราะมีสินค้าจำหน่ายมากมายทั้งเสื้อผ้า กระเป๋าเดินทาง เป้ นาฬิกา ของที่ระลึก อาหาร เครื่องเทศ ไปจนถึงอาหารสด และดอกไม้ ราคาไม่แพง

• โรงละคร (Opera House)
ตั้งอยู่บนถนนเลเลย สร้างในปี พ.ศ. 2402 เพื่อใช้แสดงอุปรากร แต่ได้ถูกใช้ให้เป็นสำนักงานใหญ่ของสภาแห่งชาติเวียตนามใต้ แต่ทุกวันนี้ก็ใช้งานเหมือนเดิม ทุกๆ สัปดาห์จะมีการแสดงแตกต่างกันออกไป ช่วงเวลากลางคืนชาวเวียตนามยังมีความเคลื่อนไหวอย่างร่าเริงด้วย โดยเฉพาะบริเวณลานน้ำพุ ที่จะมีชาวเวียตนามและชาวต่างชาติมานั่งพักผ่อนกันทุกคืน และสุดลานน้ำพุมองออกไปจะเป็นที่ตั้งของโรงละคร ที่ชาวเวียตนามออกเสียงว่าโรงละครยาฮดแถงห์โฝ (Nha hat Thanh Pho) ซึ่งหันหน้าออกถนนดงเค่ย ระหว่างโรงแรมคาราเวลล์และโรงแรมคอนติเนนตัล

• โบสถ์นอร์ทเธอดาม (Notre Dame Cathedral)
ตั้งอยู่บริเวณกลางเมือง บนถนน Han Thuyen ได้รับการก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2420 ใช้ระยะเวลาการสร้าง 6 ปี โบสถ์นี้ไม่มีการประดับด้วยกระจกสีเหมือนโบสถ์คริสต์ที่อื่น เพราะได้รับความเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สำหรับโบสถ์แห่งนี้ได้รับการยกย่องว่ามีความงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในเวียตนาม โดยในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากมาย ลักษณะของตัวโบสถ์เป็นรูปแบบของสมัยอาณานิคม มีหอคอยคู่สี่เหลี่ยมอยู่ด้านบนสูง 40 เมตร เป็นเอกลักษณ์ที่งดงามของโบสถ์แห่งนี้ ด้านหน้าโบสถ์มีรูปปั้นขนาดใหญ่สีขาวเด่นเป็นสง่าของพระแม่มารี นักท่องเที่ยวนิยมเข้ามาชมกันมาก เพราะเป็นเสมือนสัญลักษณ์ร่วม อันหมายถึงการเข้ามาของตะวันตก และเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของโฮจิมินห์

• ไปรษณีย์กลางโฮจิมินห์ (Main Post Office)
ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองโฮจิมินห์ ใกล้กับโบสถ์นอร์ทเธอดาม ได้รับการก่อสร้างขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2439 เสร็จในปี พ.ศ. 2444 มีการออกแบบและก่อสร้างในสไตล์ฝรั่งเศสและได้รับการออกแบบตกแต่งอย่างงดงามด้วยกระจกสี เป็นไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเวียตนาม มีความโอ่โถงและอ่อนช้อยทว่ามั่นคง จนทำให้นักออกแบบมากมายต้องมาศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับการออกแบบตกแต่งอาคารแห่งนี้ ภายในตัวอาคารมีการระดับภาพแผนที่ทางทะเลโบราณ และภาพของอดีตผู้นำประเทศโฮจิมินห์ มีการบริการทั้งการส่งจดหมาย แสตมป์เพื่อการสะสม โปสการ์ด โทรศัพท์ระหว่างประเทศในอัตราค่าบริการมาตรฐาน

• สวนสัตว์และสวนพฤกษศาสตร์ (Zoo & Botanic Gardens)
ตั้งอยู่สุดถนนเลหย่วน สามารถนั่งรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างหรือเดินไปก็ได้ สถานที่นี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2407 มีต้นไม้ใหญ่มากมาย และมีการจัดแต่งสวนเป็นอย่างดี มีสวนกล้วยไม้เก็บรวบรวมชนิดพรรณพื้นเมืองไว้พอสมควร หากต้องการพักผ่อนในที่ที่ร่มรื่นแนะนำให้ไปที่สวนถ่าวกัมเวียน (Thao Cam Vien) หรือสวนสัตว์และสวนพฤกษศาสตร์ ซึ่งเป็นทางเลือกที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับหลบหลีกจากความอึกทึกวุ่นวายตามท้องถนนและเป็นสถานที่ที่เงียบสงบมากที่สุดในโฮจิมินห์ซิตี้ จุดที่ไม่ควรพลาดอีกจุดหนึ่งคือ ด้านหน้าทางเข้ามีช้างหล่อตัวหนึ่ง ได้รับการพระราชทานจากระเจ้าอยู่หัวของไทยในสมัยนั้นครั้งเมื่อไปเยือนประเทศอินโดจีน ได้มีการจารึกเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษไว้ที่แท่นด้านหน้าว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งกรุงสยาม พระราชทานไว้ให้เป็นที่ระลึก ในการที่ได้เสด็จพระราชดำเนินมายังประเทศอินโดจีนเป็นครั้งแรก เสด็จพระราชดำเนินขึ้นที่เมืองไซ่ง่อน เมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2473” ด้านในสวนพฤษศาสตร์มีสัตว์ให้ชมอยู่หลายประเภท

• พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติ (History Museum)
ตั้งอยู่ใกล้กับ สวนสัตว์และสวนพฤกษศาสตร์ สร้างโดยฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ. 2470 เป็นตึกทรงยุโรปที่งดงามมากอีกแห่งหนึ่ง ชาวเวียตนามเรียกตึกนี้ว่า เวียนบ่าวตางหลิกสือ (Vien Bao Tang Lich Su) ที่นี่มีโบราณวัตถุที่แสดงถึงวิวัฒนาการของวัฒนธรรมต่างๆ ในเวียตนาม ตั้งแต่อารยธรรมยุคสำริดดงเซิน ไปจนถึงอารยธรรมฟูนัน จาม และเขมร ในบรรดาสิ่งที่จัดแสดงไว้มีโบราณวัตถุยุคหิน สำริด ศิลาจารึก กลองมโหระทึก เครื่องปั้นดินเผางานศิลปะของชาวจาม และเครื่องแต่งกายพื้นเมืองของชนกลุ่มน้อยเผ่าต่างๆ บนชั้นสามทางด้านหลังของอาคารมีห้องสมุดวิจัยที่เก็บรวบรวมหนังสือจากยุคฝรั่งเศสที่น่าสนใจไว้เป็นจำนวนมาก

• พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Museum)
ที่ตั้ง : ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไซ่ง่อนและแม่น้ำเบนเหง่ สามารถนั่งมอเตอร์ไซด์รับจ้างหรือแท็กซี่ ห่างจากใจกลางเมืองเพียง 5 กิโลเมตร พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ ก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2406 และต่อเนื่องผูกพันกับโฮจิมินห์ในวัยหนุ่มมาก จนไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศสและกลับมาอีกครั้ง ก่อนจะนำประเทศเข้าสู่การปฏิวัติและการขับไล่ชาติตะวันตกรวมถึงการรวมเวียตนามเหนือและเวียตนามใต้ให้เป็นประเทศเวียตนาม
พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ เป็นสถานที่จัดแสดงเรื่องราวส่วนตัวของอดีตผู้นำประเทศเวียตนาม และการต่อสู้เพื่อเรียกร้องเสรีภาพกับชาติตะวันตก และต่อสู้เพื่อปกป้องอธิปไตยของคนในชาติอีกด้วย มีการจัดแสดงเรื่องราวต่างๆ ไว้เป็นหมวดหมู่น่าสนใจ สำหรับอาคารพิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์นี้ มีชื่อเรียกสั้นๆ ว่า บ้านมังกร พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ ก็เป็นเสมือนสถานที่ส่วนตัวทั่วๆ ไป ทุกห้องทุกชั้นมีเฉพาะเรื่องราวของเจ้าของบ้านเต็มไปหมด มีการจัดอย่างเป็นระเบียบ มีการแบ่งหมดหมู่อย่างชัดเจน อาคารนี้มี 2 ชั้น บนระเบียงชั้นสอง สามารถมองเห็นสายน้ำไซ่ง่อนได้เป็นอย่างดี มีเรือบรรทุกสินค้าลำใหญ่จอดอยู่มากมาย

• ทำเนียบของอดีตประธานาธิบดีเวียดนามใต้ (Reunification Palace)
• ที่ตั้ง : ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองโฮจิมินห์ ทำเนียบของอดีตประธานาธิบดี ปัจจุบันเรียกกันว่าทองยัด และเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ด้วย อาคารทันสมัยหลังใหญ่นี้รายรอบด้วยสวนขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในบริเวณที่เคยเป็นทำเนียบของผู้ว่าการชาวฝรั่งเศสที่เรียกว่า ทำเนียบนโรดม (Norodom Palace) ซึ่งมีอายุย้อนหลังไปถึงปี พ.ศ. 2411 หลังจากที่ข้อตกลงเจนีวานำจุดจบมาสู่การยึดครองของฝรั่งเศส โงดินห์เดียม ประธานาธิบดีของเวียดนามใต้ได้พำนักอยู่ในทำเนียบแห่งนี้
• ในปี พ.ศ. 2506 ทำเนียบนี้ถูกทิ้งระเบิดโดยทหารอากาศเวียตนาใต้และได้มีการสร้างอาคารใหม่ที่รู้จักกันในชื่อ ทำเนียบอิสรภาพ (Independence Palace) ขึ้นแทนที่โครงสร้างเก่าถูกทำลาย อาคารปัจจุบันออกแบบโดยโงเวียดทู (Ngo Viet Thu) สถาปนิคชาวเวียตนามผู้สำเร็จการศึกษาจากฝรั่งเศส และสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2509 ก่อนจะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2518 เมื่อกองกำลังคอมมิวนิสต์ได้เคลื่อนขบวนรถถังเข้าชนประตูเหล็กด้านหน้าของทำเนียบและโค่นรัฐบาลเวียตนามใต้ลง
• ทุกวันที่ทำเนียบเดิมถูกเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชมได้ โดยทุกสิ่งทุกอย่างถูกทิ้งไว้ให้เสมือนสภาพเดิมในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2509 โดยชั้นล่างเป็นห้องจัดเลี้ยง ห้องโถงใหญ่ซึ่งรัฐบาลเวียตนามใต้ประกาศยอมแพ้และห้องเล็กถูกใช้สำหรับการบรรยายสรุปประจำวันทางทหาร ในระหว่างช่วงก่อนที่รัฐบาลเวียตนามใต้จะถูกโค่น
• ส่วนชั้นที่สองเป็นห้องรับรองของประธานาธิบดีตรันวันเฮือง และห้องรับรองของประธานาธิบดีเทียว ซึ่งเพียบพร้อมด้วยห้องนอน ห้องรับประทานอาหาร และห้องสวดมนต์แบบคาทอลิค ชั้นสามเป็นห้องรับรองของภริยาประธานาธิบดี และชั้นที่สี่เป็นห้องฉายภาพยนตร์ส่วนตัวและลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งจากที่นี่จะสมารถเห็นทิวทัศน์อันงดงามของถนนเลหย่วน (Le Duan Boulevard) ได้เป็นอย่างดี
• ด้านหลังทำเนียบเป็นสาธารณะกงเวียดวันฮวา (Cong Vien Van Hoa) ซึ่งเป็นพื้นที่สีเขียวร่มรื่นสบายตา ด้านหน้าถนนเลหย่วน ถูกกั้นไว้ด้วยสวนสาธารณะใหญ่แห่งหนึ่งที่ร่มครึ้มด้วยไม้ใหญ่ บริเวณด้านหนึ่งใกล้กับถนนไทวันลุง (Thai Van Lung) สำนักงานของโครงการอพยพอย่างมีระเบียบของอเมริกัน (American Orderly Departure Program) ซึ่งตั้งอยู่ในปี พ.ศ. 2523 เพื่อให้ความช่วยเหลือเด็กลูกครึ่งอเมริกัน-เอเชีย และผู้ลี้ภัยทางการเมืองอยู่บริเวณใกล้ๆ นั้น

ฮอยอัน ทัวร์เวี่ยดนาม เที่ยวเมืองมรดกโลก


• สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองฮอยอัน
   สำหรับการมาเที่ยวชมเมืองฮอยอัน สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือ การซื้อบัตรเข้าชมเมืองเก่าบริเวณหัวถนนตรันฝู ภายในบัตรนั้นคุณสมารถเข้าชมได้ 5 สถานที่ภายใน 1 วัน จะเลือกเดินเท้าเข้าชมเมือง เช่าจักรยาน หรือใช้บริการของสามล้อถีบก็ได้เช่นกัน เนื่องจากฮอยอันเป็นเมืองเล็กๆ มีถนนสายหลักเพียงไม่กี่เส้น ใช้เวลาเพียงวันเดียวก็เที่ยวครบแล้ว
• สมาคมฟุกเกี๋ยน (Phouc Kien Assembly Hall)
ถนนสายตรันฝู นอกจากจะเป็นศูนย์กลางของการเที่ยวชมเมืองโบราณฮอยอันแล้ว ยังเป็นศูนย์รวมของชาวจีนที่อพยพเข้ามาในช่วงปี พ.ศ.2388-2428 จะเห็นได้จากบ้านเก่าแก่ประจำตระกูลกว่า 20 หลัง ตลอดจนจั่วฟุกเกี๋ยนที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2335 ซึ่งถือเป็นสามคมชาวจีนที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดของเมืองฮอยอัน ใช้สำหรับเป็นที่พบปะของคนหลายรุ่นที่อพยพมาจากฟุกเกี๋ยนที่มีแซ่เดียวกัน และยังใช้เป็นที่ระลึกถึงถิ่นกำเนิดและบูชาบรรพบุรุษของตน และภายในยังเป็นที่ตั้งของวัดที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับลัทธิของพระนางเทียนเห่า มีจุดเด่นอยู่ที่งานไม้แกะสลัก ลวดลายสวยงามน่าชมและหากคุณไม่เร่งรีบไปไหน สองฟากฝั่งของถนนตรันฝูยังเต็มไปด้วยร้านขายสินค้าทำมือให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อกลับไปเป็นของที่ระลึก ทั้งงานแกะสลักไม้ โคมไฟจากผ้าไหมหลากสี ภาพวาดที่สะท้อนวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของชาวฮอยอัน ตลอดจนร้านอาหารหลากสัญชาติ หลายบรรยากาศ
• สะพานญึ่ปุ่น (Japanese Covered Bridge)
สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองฮอยอันที่คุณต้องมาชมคือ สะพานญี่ปุ่น ได้รับการก่อสร้างโดยชุมชนชาวญี่ปุ่นเมื่อ 400 กว่าปีที่แล้ว รูปทรงโค้งของสะพานและหลังคามุงกระเบื้องสีเขียวและเหลืองเป็นคลื่น ตรงกลางสะพานมีเจดีย์ทรงจัตุรัสที่สร้างอุทิศให้แก่ดั๊กเดและตรันหวู ก่อนเดินข้ามสะพานด้านซ้ายมือจะมีรูปปั้นสุนัขกำลังนั่ง และเมื่อข้ามไปแล้วก็จะเจอกับลิงอีกตัว นับเป็นสิ่งที่ช่างสมัยก่อนแสดงให้เห็นถึงระยะเวลาในการก่อสร้าง สะพานแห่งนี้ เมื่อข้ามสะพานมายังอีกฟากหนึ่งของเมือง คุณจะพบเห็นบ้านเรือนเก่าสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ ตลอดจนร้านสไตล์อาร์แกลอรี่ริมถนนคนเดินสองฟากฝั่งถนนให้คุณได้เลือกซื้อเลือกชม ส่วนถนนอีกเส้นคือ เหวียนทิมิงห์ไค ที่มีบ้านเก่าอีกหลังที่น่าสนใจเช่นกัน คือ บ้านเลขที่ 7 เป็นบ้านชาวจีนทที่ย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากบนผืนแผ่นดินเวียดนามเมื่อครั้งขบวนเรือสำเภาเข้ามาค้าขายในเมืองท่าแห่งนี้
เอกลักษณ์ของบ้านไม้เก่าในฮอยอันก็คือ ส่วนหน้าบ้านจะอยู่ติดกับถนนอีกสายหนึ่งและหลังบ้านจะอยู่ติดกับถนนอีกสายหนึ่ง บริเวณหลังบ้านจะยาวมาก ภายในตกแต่งด้วยไม้แกะสลักงดงาม และหน้าบ้านจะดัดแปลงมาเป็นร้านค้าขายของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว
• บ้านเลขที่ 101 (Old House No.101)
เสน่ห์อย่างหนึ่งของการมาเยือนเมืองฮอยอันก็คือ การได้เข้าไปเยี่ยมชมบ้านประจำตระกูลเก่าแก่ที่ยังคงงดงาม มีให้เลือกชมอยู่หลายหลัง แต่คุณสามารถเลือกเข้าชมได้เพียงหนึ่งหลังจากบัตรเข้าชม นอกเหนือจากนี้คุณจะต้องจ่ายค่าเข้าชมในบ้านแต่ละหลังเอง เริ่มตั้งแต่ถนนตรันฝู ที่ตั้งของบ้านเลขที่ 77 ซึ่งเป็นบ้านของลูกหลานชาวจีนเก่าแก่อายุเกือบ 80 ปี ซึ่งอยู่อาศัยมาถึง 6 รุ่นแล้ว ภายในใช้เครื่องไม้ประดับตกแต่งอย่างงดงาม ถัดมาที่ถนนเหวียนไทฮ็อก ที่ถือว่าเป็นศูนย์รวมของสถาปัตยกรรมแบบฮอยอัน บนถนนสายนี้มีบ้านประจำตระกูลเก่าแก่ให้เลือกเข้าชมทั้งหมด 3 หลังด้วยกัน เริ่มจากบ้านเลขที่ 22 บ้านเก่า 2 ชั้น ของชาวจีนที่เข้ามาติดต่อเพื่อซื้อขายอบเชย สร้างมาเกือบ 90 ปีแล้ว ภายในแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ บ้านไม้และบ้านปูนเก่าสร้างอย่างประณีต เป็นครอบครัวใหญ่ที่เปิดให้เข้าเยี่ยมชมได้และที่คุณพลาดไม่ได้คือ บ้านเลขที่101 เป็นบ้านของจีนในตระกูล Tan Ky นับเป็นบ้านไม้ที่เก่าแก่และสวยงามที่สุดของเมืองฮอยอัน สร้างขึ้นมาเมื่อ 75 ปีที่แล้ว และอยู่กันมา 5 ชั่วอายุคน ภายในแบ่งเป็นสัดส่วนอย่างลงตัว ตั้งแต่ ห้องสมุดสมัยก่อน ห้องรับแขก และห้องครัว
• ศูนย์วัฒนธรรมและหัตถกรรม (Handicraft workshop and traditional music shop)
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดภายในศูนย์วัฒนธรรมและหัตถกรรมแห่งนี้คือ โรงละครหลังเล็ก ที่จัดการแสดงพื้นเมืองที่หาดูได้ยากของชาวเวียดนาม ตั้งแต่การจับปลา การเกี่ยวข้าว ท่ามกลางศิลปินนักร้อง นักดนตรี ที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวเวียดนาม สำหรับนัก่องเที่ยวี่ไม่อยาดพลาดการแสดงที่น่าประทับใจเช่นนี้ แนะนำให้มาในวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 10.00 น. หรือ เวลา 15.00 น. เพราะจะมีการแสดงเพียง 2 รอบต่อ 1 วันเท่านั้น
นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์รวมงานฝีมือของเมืองฮอยอัน ตั้งแต่งานแกะสลักไม้ งานแกะสลักหินอ่อน ที่ยินดีให้คุณได้ชมในทุกขั้นตอนของการผลิต และสมารถเลือกซื้อกลับไปเป็ฯชองที่ระลึกได้ในราคาย่อมเยา
• พิพิธภัณฑ์เซรามิก (Museu of Trading Ceramics)
ที่ตั้ง อยู่บนถนนสายตรันฝู ตรงบ้านเลขที่ 80 ภายในบ้าน 2 ชั้นหลังนี้ สร้างจากไม้เนื้อแข็งที่มีอายุเก่าแก่กว่า 80 ปี โดยบรรพบุรุษดั้งเดิมเป็นชาวจีนฟุกเกี๋ยนที่เข้ามาติดต่อซื้อขายยาสมุนไพร และไม่ได้กลับไปยังถิ่นฐานเดิม ปัจจุบันจึงดัดแปลงบ้านไม้เก่าแก่หลังนี้ให้เป็นพิพิธภัณฑ์เซรามิกที่จัดแสดงโบราณวัตถุเอาไว้อย่างเป็นหมวดหมู่ตั้งแต่ ถ้วย ขาม เครื่องใช้ไม้สอยสมัยโบราณ รวมทั้งชามสังคโลกของไทย สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมาของเมืองมรดกโลกริมแม่น้ำทูโบนที่เต็มเปี่ยวด้วยเสน่ห์แห่งนี้ นอกจากจะได้ชมถ้วยชามเซรามิกเก่าแก่แล้ว จากบริเวณระเบียงบ้านชั้น 2 คุณยังสามารถมองลงมายังถนนหน้าบ้าน เพื่อชมเมืองฮอยอันในมุมสูงได้อีกด้วย
• หลังจากเที่ยวชม 5 สถานที่ของเมืองเก่าฮอยอันจนครบแล้ว สถานที่ต่อไปที่คุณไม่ควรพลาดชม คือ แม่น้ำทูโบน แม่น้ำสายสำคัญที่ไหลหล่อเลี้ยงชาวฮอยอันจากอดีตจนปัจจุบัน เต็มไปด้วยร้านอาหารนานาชาติ บรรยากาศดี ให้คุณได้เลือกนั่งพักชมวิวริมแม่น้ำ และหากมีเวลาพอห่างจากตัวเมืองเก่ามาไม่ไกล ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำทูโบนยังเป็นที่ตั้งของหาดจีน ชายหาดที่ทอดยาวต่อเนื่องมาจากเมืองดานัง ซึ่งขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดในเมืองฮอยอัน
• แม่น้ำทูโบน (Thu Bon River)
• หากมาเยือนเมืองฮอยอันแล้วไม่ได้มาเยี่ยมชมแม่น้ำทูโบนแล้วก็เหมือนมาไม่ถึง เพราะแม่น้ำสายนี้มีความสำคัญตั้งแต่สมัยครั้งโบราณ ก่อนที่ฮอยกันยังเป็นเมืองท่าสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีชาวต่างชาติจำนวนมากล่องเรือเข้ามาททำการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าที่เมืองแห่งนี้ ทำให้ฮอยอันเป็นเสมือนศูนย์กลางของการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างตะวันออกกับตะวันตก แต่ภายหลังที่แม่น้ำเริ่มตื้นเขิน เรือเดินสินค้าไม่สามารถมาจอดเทียบท่าได้ เมืองดานังจึงถูกสร้างขึ้นมาแทนที่ฮอยอัน แต่อย่างไรก็ดี สายน้ำทูโบนแห่งนี้กลับมิได้สูญหายไปพร้อมกาลเวลา แต่ยังคงทำหน้าที่หลักไหลหล่อเลี้ยงชาวฮอยอันอยู่เรื่อยมา เห็นได้จากชาวบ้านที่ยังคงออกหาปลาในแม่น้ำ และใช้แม่น้ำสายนี้เป็นเส้นทางสัญจรไปมาหาสู่กันระหว่างสองฟากฝั่งน้ำ การได้มาเดินเที่ยวชมริมแม่น้ำทูโบน จึงเต็มแด้วยเสน่ห์ของกาลเวลาที่เชื่อมต่อระหว่างอดีตและปัจจุบันเข้าไว้ด้วยกัน ตั้งแต่บ้านเรือนสไตล์โคโลเนียลมรดกตกทอดริมฝั่งแม่น้ำทูโบน หมู่บ้านชาวประมงที่หาดูได้ยาก ศิลปะที่ผสมผสานที่แสดงผลงานศิลปะไว้ภายในเรือ ตลอดจนร้านอาหารสองบรรยากาศที่มีให้คุณเลือกสรรทั้งร้านขายน้ำผลไม้แบบเรียบง่ายริมฝั่งแม่น้ำ หรือร้านอาหารสมัยใหม่หลายสัญชาติที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม และถ้าคุณต้องการสัมผัสมนต์เสน่ห์ของสายน้ำทูโบนอบ่างใกล้ชิดแล้ว ก็มีบริการล่องเรือชมวิวทิวทัศน์และวิถีริมฝั่งน้ำให้คุณเลือกใช้บริการเช่นกัน

• หาดเกาได๋ หรือ หาดจีน (Cao Dai Beach)
• นอกจากบ้านเรือนสวยสไตล์โคโลเนียลที่มีให้เยี่ยมชมย่านเก่าใจกลางเมืองฮอยอันแล้ว ถัดมาไม่ไกลจากตัวเมืองฝั่งตรงขามกับแม่น้ำทูโบน คุณจะได้พบกับชายหาดสวยชื่อ เกาได๋ ที่ทอดยาวต่อเนื่องมาจากเมืองดานัง หรือที่ชาวฮอยอันเรียกว่า หาดจีน เป็นชายหาดที่มีเนื้อทรายละเอียด น้ำทะเลใสสะอาด บรรยากาศเงียบสงบ มีกิจกรรมทางน้ำมากมายให้เลือกสรร เหมาะทั้งลงเล่นน้ำและชมวิวทิวทัศน์ บริเวณฝั่งตรงข้ามชายหาดเต็มไปด้วยโรงแรมระดับดีให้คุณได้เลือกพักชมวิวทะเล ตลอดตนร้านอาหารให้เลือกลิ้มรส นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่หลังจากเที่ยวชมเมืองเก่าฮอยอันจนครบแล้ว ก็มักเปลี่ยนบรรยากาศมาพักผ่อนหย่อนใจที่หาดทรายสวยแห่งนี้

• หุบเขาหมี่เซิน..มรดกโลก
• ที่ตั้ง : อยู่ห่างจากเมืองดานังไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากเมืองฮอยอันมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร
• การเดินทาง : ท่านสามารถหาซื้อแพกเกจทัวร์ได้จากบริษัทเมืองดานังหรือฮอยอันจะสะดวกกว่าเดินทางไปด้วยตัวเอง ราคาไป-กลับ ประมาณ 4 US$ แต่ถ้าเลือกนั่งเรือกลับก็ต้องเพิ่มเงินอีกนิดหน่อย
• นักโบราณคดีเชื่อว่าวัฒนธรรมของจามมีพื้นฐานมาจากวัฒนธรรมซาหินห์ของคนยุคก่อนประวัติศาสตร์ ในแผ่นดินอันนัมและผสานเข้ากับวัฒนธรรมอินเดียที่ขึ้นฝั่งมาทำการค้าเมื่อครั้งอดีต
• วัฒนธรรมจาม มีความเจริญรุ่งเรืองยาวนานถึงพันกว่าปี มีศูนย์กลางอยู่ที่หุบเขาหมี่เซิน โดยเริ่มต้นจากพระเจ้าภัทรวรมันที่ 1 ในคริสต์ศตวรรษที่ 4 อาณาจักรจามรุ่งเรืองครอบครองอาณาเขตตั้งแต่ทางตอนใต้ของฮานอยไปจนถึงเวียดนามใต้และภาคตะวันออกของกัมพูชา ตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดอาณาจักรจามปา มีกษัตริย์ปกครอง 78 พระองค์ ใน 14 ราชวงศ์ ก่อนเข้าสวามิภักดิ์กับอาณาจักรไดเวียดเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 15 และถือเป็นอันสิ้นสุดลงของอาณาจักรแห่งความยิ่งใหญ่
• ร่องรอยแห่งอารยธรรมของอาณาจักรจามปามีอยู่ทั่วไปในอุษาคเนย์ ซึ่งได้สร้างปราสาทเพื่อถวายพระศิวะมากมาย เนื่องจากชนชาติดังกล่าวนับถือศาสนาฮินดูอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะภายในบริเวณหมี่เซินมีศาสนสถานที่สร้างด้วยอิฐกว่า 70 แห่ง แต่ที่โดดเด่นสุด คือ ปราสาททับจั่ว แต่ภายหลังที่เกิดสงครามเวียดนาม โบราณสถานจำนวนมากถูกทำลายลงจากการทิ้งระเบิดของเครื่องบิน B52 ของอเมริกา แต่อย่างไรก็ดี โบราณสถานที่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบันก็ยังงดงามควรค่าแก่การเยี่ยมชม เพราะนับเป็นโบราณสถานในศาสนาฮินดูที่เก่าแก่และสมบูรณ์ที่สุดในแหลมอินโดจีน ที่สามารถสะท้อนความรุ่งเรืองแห่งอารยธรรมของจามได้ดีที่สุด จนได้รับเลือกจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี พ.ศ. 2542



ดานัง เที่ยวเวียดนาม เมืองมรดกโลกริมแม่น้ำหาน


• ดานัง หรือจังหวัดกว่างนาม ดานัง ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำหาน เมืองนี้เติบโตขึ้นมาจากหมู่บ้านชาวประมงจนกลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญและใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศ เมื่อครั้งอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ทูแรน ทว่าเมืองดานังกลับมีชื่อเสียงติดปากชาวต่างชาติก็เนื่องมาจากสงครามเวียดนาม เพราะนาวิกโยธินสหรัฐอเมริกาชุดแรกจำนวน 3,500 คน ได้ยกพลขึ้นบกที่นี่เมื่อปี พ.ศ. 2508 และหลังจากนั้นอีกเพียง 10 ปี กองกำหลังคอมมิวนิสต์ของโฮจิมินห์ ก็เคลื่อนพลผ่านไปได้อย่างสบายเพื่อไปยึดเวียดนามใต้
• จนย่างเข้าสู่ศตวรรษที่ 19 เมืองนี้จึงกลับมาเจริญอีกครั้งภายหลังที่สภาพแวดล้อมทางกายภาพและทางสังคมฮอยอันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง แม่น้ำหลายสายเปลี่ยนเส้นทาง เนื่องจากแม่น้ำทูโบนเกิดตื้นเขินและกีดขวางการสัญจรทางทะเล เมืองท่าดานังจึงถูกสร้างขึ้นมาแทนที่ในฐานะเมืองท่าและศูนย์กลางการค้าที่สำคัญที่สุดในเขตภาคกลางของเวียดนาม ผลผลิตเด่นๆ ของจังหวัดนี้ได้แก่ อบเชยจากตรามี พริกไทยจากเตียนเฟือก ยาสูบจากกามเล ผ้าไหมจากฮวาวาง หญ้าฝรั่นจากตามกี และรังนกนางแอ่นจากหมู่เกาะนอกชายฝั่ง
• ปัจจุบันเมืองดานังกำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว มีตึกรามบ้านช่อง โรงแรมร้านอาหารสมัยใหม่เกิดขึ้นมากมาย เพราะความที่เป็นเมืองท่าสะดวกต่อการคมนาคมขนส่ง มีสนามบินนานาชาติดานังที่เป็นศูนย์กลางการเดินทางท่องเที่ยวในเขตภาคกลาง ตลอดจนสถานที่ท่องเที่ยวอันน่าสนใจมากมาย ตั้งแต่โบราณสถานหมี่เซินที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นมรดกโลก พิพิธภัณฑ์ประติมากรรมของจามที่เจริญรุ่งเรืองมาก่อนยุคสมัยใด แหล่งหินอ่อนบนภูเขาธาตุทั้งห้า และชายหาดนอนเนื๊อกที่ชาวต่างชาติยกย่องว่าสวยงามไม่แพ้ชายหาดใดในโลก ทำให้ปัจจุบันดานังไม่ได้เป็นแค่เมืองท่าริมแม่น้ำหานที่ใช้เพียงขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ แต่ยังทำหน้าที่เป็นประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่งทุกมุมโลกอีกด้วย

เขตปลอดทหารและอุโมงค์หวิงห์ม็อก


• อุโมงค์หวิงห์ม็อก
   อุโมงค์หวิงห์ม็อก ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเว้มาทางทิศเหนือราว 65 กิโลเมตร นับเป็นอุโมงค์ใต้ดินที่คนทั้งหมู่บ้านอาศัยอยู่เป็นเวลาหลายปีเพื่อหลบภัยจากการทิ้งระเบิดอย่างต่อเนื่องในสมัยสงครามเวียดนาม แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะพากันอพยพไปอยู่ในส่วนอื่นๆ ของประเทศ แต่ก็มีชาวบ้านจำนวนกว่า 300 คน ที่ยังอาศัยอยู่ภายในอุโมงค์คนรูแห่งนี้เป็นเวลากว่า 5 ปี นับจากปี พ.ศ. 2509-2514
   ภายในเครือข่ายอุโมงค์ที่มีความยาวกว่า 2,000 เมตร นี้ แบ่งออกเป็น 3 ชั้น มีทางเข้าออกทั้งหมด 13 ทาง แต่ละชั้นจะมีการสร้างเป็นห้องต่างๆ ทางซ้ายและขวา โดยชั้นแรกมีจุดเด่นน่าชมอยู่ที่ห้องที่ใช้คลอดเด็กทารกถึง 17 คน และชั้นที่สองเป็นส่วนที่ใช้ในการประชุมในสมัยสงคราม จากนั้นจะมีทางเดินลงสู่ชั้นที่ 3 ของอุโมงค์ ซึ่งค่อนข้างชันควรใช้ความระมัดระวัง อุโมงค์หวิงห์ม็อกสามารถเที่ยวชมได้ตลอดปี เพียงแต่ในฤดูฝนอาจจะมีความยากลำบากในการเดินทางสักหน่อย และควรนำไฟฉายติดตัวมาด้วยเพราะทางเดินภายในอุโมงค์ค่อนข้างมืด

สุสานจักรพรรดิไคดิงห์ (Tomb of Khai Dinh) เวียดนามกลาง


• สุสานของพระเจ้าไคดิงห์ เพราะเป็นเพียงสุสานเดียวที่มีการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมตะวันออกเข้ากับสถาปัตยกรรมตะวันตก ด้วยทรงเป็นจักรพรรดิในราชวงศ์เหวียนพระองค์เดียวที่ได้เดินทางไปประเทศฝรั่งเศส สุสานแห่งนี้สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กอย่างดี โดยใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 11 ปี พระเจ้าไคดิงห์เป็นพระบิดาบุญธรรมของพระเจ้าเบ๋าได่ ทรงครองราชย์อยู่ 9 ปี ในยุคที่ฝรั่งเศสเข้ามาปกครอง
• ทางเดินขึ้นสุสานได้รับการตกแต่งเป็นบันไดมังกรอันโอ่อ่าที่จะพาคุณขึ้นไปสู่สานชั้นหนึ่ง จากนั้นมีบันไดต่อไปยังลานชั้นสองที่เรียงรายด้วยรูปปั้นหินของช้าง ม้า ข้าราชการทหารและพลเรือน กลางลานมีแผ่นจารึกเขียนด้วยอักษรจีน นิพนธ์โดยพระเจ้าเบ๋าได่ เพื่อรำลึกถึงพระบิดาของพระองค์ ส่วนด้านบนสุดเป็นพระราชวังเทียนดิงห์ ภายในมีการตกแต่งอย่างสวยงามด้วยการใช้กระเบื้องสีปูพื้นจิตรกรรมฝาผนังภาพมังกรในม่านเมฆขนาดใหญ่ที่วาดโดยใช้ศิลปินที่เขียนภาพด้วยเท้า ประดับอยู่บนเพดานกลางห้องโถง ส่วนทางซ้ายและขวาเป็นภาพเฟรสโกอันเต็มไปด้วยสีสันที่ตกแต่งด้วยการฝังกระจกสีและกระเบื้องนับพันชิ้น แสดงถึงเรื่องราวมากมายของสัตว์ ต้นไม้ และดอกไม้ ตลอดจนรูปปั้นสำริดขนาดเท่าองค์จริงของพระเจ้าไคดิงห์ ซึ่งสร้างที่ฝรั่งเสศในปี พ.ศ. 2465 ตั้งอยู่บนยกพื้นด้านบนของสุสาน

นครจักรพรรดิ อดีตพระราชวังหลวง


• นครจักรพรรดิ (Imperial Enclosure)
• การมาเที่ยวเมืองเว้ โปรแกรมที่พลาดไม่ได้ก็คือการได้มาชมนครแห่งจักรพรรดิที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง มรดกตกทอดอันยิ่งใหญ่และสวยงามของราชวงศ์เหวียน นครจักรพรรดิหรือพระราชวังแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นตามแบบแผนความเชื่อของจีน ได้รับการออกแบบให้มีกำแพงล้อมรอบถึง 3 ชั้น จุดน่าสนใจของการเที่ยวชม หลังจากที่คุณข้ามสะพานเดินลองผ่านซุ้มประตูหรือกำแพงชั้นนอกเข้าไป จะได้พบกับ ซุนทานกง หรือ ปืนใหญ่ 9 เทพเจ้า ซึ่งอยู่ทางด้านขวามือ หมายถึงเทพ 5 องค์ ตัวแทนของธาตุทั้ง 5 คือ โลหะ น้ำ ไม้ ไฟ และดิน ส่วนอีก 4 องค์ เป็นตัวแทนของฤดูกาลทั้ง 4 ฤดูใน 1 ปี
• ถัดมาเป็นกำแพงเหลือง ซึ่งเป็นกำแพงชั้นกลางที่ล้อมรอบนครของจักรพรรดิ พระราชวัง วัด และสวนดอกไม้เอาไว้ ในส่วนนี้มีประตูทางเข้าที่ตกแต่งเอาไว้อย่างสวยงาม 4 ประตู ประตูที่สำคัญที่สุด คือ โหงะโมน หรือ ประตูเที่ยงวัน ที่สร้างขึ้นครั้งแรกด้วยหินแกรนิตในสมัยพระเจ้ามิงห์หม่าง
• เมื่อคุณผ่านลอดประตูชั้นที่สอง โดยข้ามสะพานน้ำทอง ซึ่งเคยถูกสงวนไว้เฉพาะจักรพรรดิเท่านั้น คุณจะเจอกับพระราชวังไทเฮา อันเป็นวังที่สำคัญที่สุดในนครจักรพรรดิ ใช้สำหรับต้อนรับเชื้อพระวงศ์ระดับสูง และนักการทูตต่างประเทศ นอกจากนั้นราชสำนักยังใช้เป็นที่จัดงานฉลองสำคัญต่างๆ เช่นกัน
• ส่วนวัดวาอารามภายในกำแพงแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับขุนนางหลายคน วัดสำคัญคือ วัดเถเหมียว ซึ่งได้รับการดูแลอย่างดี สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับผู้ปกครองในราชวงศ์เหวียน ถัดมาส่วนในสุดของนครจักรพรรดิ คือ ตือกามแทงห์ หรือนครต้องห้ามของจักรพรรดิ ที่ถูกสงวนไว้เฉพาะจักรพรรดิและเชื้อพระวงศ์นั้น

วัดเทียนมู่ ล่องเรือแม่น้ำหอม ประเทศเวียดนาม


• วัดเทียนมู่ (Thien Mu Pagoda)
• วัดเทียนมู่ ตั้งอยู่ฝั่งซ้ายของริมแม่น้ำหอมของประเทศเวียดนาม ทางไปสุสานของพระเจ้ามิงห์หม่าง วัดแห่งนี้นับเป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนานิกายเซน จุดเด่นที่สุดของวัดแห่งนี้คือ เจดีย์ทรงเก๋ง 8 เหลี่ยม สูงลดหลั่นกัน 7 ชั้น แต่ละชั้นเป็นตัวแทนของชาติภพต่างๆ ของพระพุทธเจ้า ส่วนทางฝั่งซ้ายและขวาเป็นที่ตั้งของศิลาจารึกและระฆังสำริดขนาดใหญ่หนักถึง 2,000 กิโลกรัม ถัดมาทางด้านหลังของเจดีย์เป็นประตูทางเข้าสู่บริเวณภายในวัด มีรูปปั้นเทพเจ้า 6 องค์ คอยยืนเฝ้าปกป้องไม่ให้ความชั่วร้ายเข้ามาเยือนและวัดแห่งนี้เองมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และการเมืองในช่วงยุคหลังของเวียตนาม เมื่อพระภิกษุทิกกวางหยุก เจ้าอาวาสของวัดเทียนมู่ได้ใช้รถออสตินสีฟ้าคันเล็กเป็นพาหนะไปเผาตัวเองที่กลางกรุงไซ่ง่อนหรือโฮจิมินห์ซิตี้ในปัจจุบัน ในช่วงสายของวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2506 เพื่อประท้วงการบังคับให้ประชาชนไปนับถือศาสนาคริสต์และการฉ้อราษฎร์บังหลวงของรัฐบาลโงดินห์เดียมที่เป็นคาทอลิก รวมทั้งใช้ความรุนแรงขัดขวางการฉลองวันวิสาขบูชาของประชาชนในประเทศ ปัจจุบันรถออสตินสีฟ้าคันนั้นได้ถูกเก็บรักษาและจัดแสดงไว้ภายในวัดแห่งนี้
• หมายเหตุ : บริเวณหน้าวัด มีร้านขายของฝากและของที่ระลึก เวลาซึ้อของฝาก กรุณาต่อรองราคา 50 - 70 % นะครับ (ถ้าเขาไม่ให้ก็แกล้งเดินหนี แล้วแม่ค้าก็จะเดินตามมาขายท่านเองแหละครับ รับประกันว่าซื้อของนะต้องต่อรองกันจริงๆ นี่แหละครับ...เสน่ห์แห่งเวียตนาม)

• นั่งเรือมังกรล่องลำน้ำหอม
• ทัวร์เวียดนาม ล่องเรือแม่น้ำหอม ฟังดนตรีราชสำนัก : แม่น้ำหอม หรือที่ชาวเวียดนามออกเสียงว่า ซงเฮือง กำเนิดมาจากบริเวณต้นน้ำที่อุดมไปด้วยดอกไม้ป่าที่ส่งกลิ่นหอมและร่วงหล่นลอยมากับสายน้ำ แม่น้ำหอมเป็นแม่น้ำสายสั้นๆ น้ำจึงไม่ลึกแต่ใสสะอาด ไหลผ่านธรรมชาติที่งดงามสองฟากฝั่ง ทั้งแมกไม้ วัดวาอาราม รวมถึงสุสานจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เหวียน การนั่งเรือมังกรล่องลำน้ำหอมจึงนับเป็นโปรแกรมท่องธรรมชาติ มีให้เลือกหลายรูปแบบตั้งแต่ การล่องเรือไปตามลำน้ำเพื่อแวะขึ้นชมพระราชสุสานของเหล่าจักรพรรดิราชวงศ์เหวียน หรือล่องจากตัวเมืองเว้สู่วัดเทียนมู่เพื่อชมเจดีย์ 8 เหลี่ยม 7 ชั้น อันงดงาม ระหว่างทางคุณยังจะได้พบกับหมู่บ้านชาวน้ำให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ ชาวบ้านเหล่านี้ใช้เรือเป็นที่อยู่อาศัย มีอาชีพจับปลา ขุดทรายในแม่น้ำมาขายให้พ่อค้าคนกลาง ส่วนในยามเย็นนั้นนักท่องเที่ยวนิยมใช้เวลาหลังอาหารค่ำลงเรือล่องลำน้ำหอม โดยเรือจะไม่ล่องไปไกลเหมือนในตอนกลางวัน แต่จะปล่อยให้เรือล่องลอยไปตามสายน้ำที่ไหลเอื่อยๆ ท่ามกลางศิลปินนักร้อง นักดนตรี ที่มาฟ้อนรำและบรรเลงเพลงพื้นบ้านให้ฟังกันสดๆ ซึ่งในอดีตการฟ้อนรำและการบรรเลงเพลงพื้นบ้านนี้ เป็นการเล่นถวายให้กับจักรพรรดิเท่านั้น

• ทัวร์เวียดนาม : สำหรับทัวร์เวียดนาม สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับทริปทัวร์เวียดนามเที่ยวเมืองเว้ ดานัง ฮอยอัน นั่นก็คือการได้มาเที่ยวล่องเรือแม่น้ำหอม ซึ่งแน่นอนที่สุดว่าเป็นทริปได้สัมผัสบรรยากาศแบบย้อนยุคและได้ชมวิวทิวทัศน์ของเมืองเว้ มีสาวๆชาวเวียดนามในชุดประจำชาติมาขับกล่อมดนตรีพื้นบ้านให้ฟังกันแบบสดๆครับ....

นครเว้...อดีตมหานครที่ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์เหวียน


• เมืองเว้...อดีตนครจักรพรรดิหรือพระราชวังที่จักรพรรดิยาลอง องค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เหวียนเป็นผู้สถาปนาขึ้น เมืองแห่งนี้ได้รับการบันทึกไว้หลังจากอาณาจักรจามปาล่มสลายลง
• เดิมเมืองเว้นั้นเป็นเมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่ใจกลางของประเทศเวียดนาม อยู่ในความปกครองของขุนนางเหวียนฮวาง (Nguyen Hoang) ในแผ่นดินของราชวงศ์เล แต่ราชวงศ์ปกครองได้ไม่นานก็เกิดสงครามแบ่งแยกดินแดนขึ้น ทางตอนเหนือตกไปอยู่ในการปกครองของขุนนางตริงห์ และทางตอนใต้ตกอยู่ในการปกครองของขุนนางเหวียน ต่อมาได้ขัดแย้งกันและได้เกิดสงครามขึ้นมา พี่น้องตระกูลเตยเซินก่อกบฏขึ้นและยึดเวียดนามได้ทั้งหมด เหวียนฉวางหรือที่คนไทยรู้จักพระองค์ในชื่อว่า องเชียงสือ ซึ่งเป็นผู้ปกครองเวียดนามใต้อยู่ในขณะนั้น จึงได้ลี้ภัยมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกนานถึง 4 ปีแล้วกลับมาปราบกบฏลงได้ในปี พ.ศ. 2345 และรวบรวมดินแดนทางตอนเหนือและตอนใต้เข้าไว้ด้วยกัน โดยเรียกชื่อเสียใหม่ว่า เวียดนาม พร้อมกับสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิยาลองแห่งราชวงศ์เหวียนขึ้นปกครองเมืองเว้ซึ่งเป็นราชธานี
• แต่หลังจากที่พระเจ้ายางลองปกครองเวียดนามได้เพียง 33 ปี ฝรั่งเศสก็บุกเข้าโจมตีเมืองเว้ ในช่วงนี้จักรพรรดิผลัดกันขึ้นสู้บัลลังก์ในช่วงสั้นๆ การเดินขบวนต่อต้านฝรั่งเศสและการต่อสู้กับจักรพรรดินิยมถูกติดตามมาด้วยการยึดครองของญี่ปุ่นในมหาสงครามเอเชียบูรพาเมื่อปี พ.ศ. 2488 และในสิงหาคมปีเดียวกันนี้เองที่พระเจ้าเบ๋าได่ ได้สละราชสมบัติเป็นอันสิ้นสุดราชวงศ์เหวียน ต่อมาเมืองเว้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเวียดนามใต้ตามการแบ่งประเทศออกเป็น 2 ส่วน และได้เสื่อมสลายลงภายใต้การปกครองของรัฐบาลโงดิงห์เดียม นครแห่งจักรพรรดิต้องประสบกับความเสียหายอย่างหนัก ระหว่างการบุกเข้าโจมตีของเวียดกงในช่วงเทศกาลเต็ดเมื่อปี พ.ศ. 2511 ซึ่งก่อให้เกิดความเดือดร้อนไปทุกเมืองในเวียดนามใต้ และเหตุการณ์ครั้งนั้นเองก็ส่งผลให้สหรัฐอเมริกาถอนกองกำลังออกจากเวียดนาม และในที่สุดก็ทำให้เวียดนามเหนือลงมายึดเวียดนามใต้และรวมกันเป็นหนึ่งได้สำเร็จ
• แม้ว่าเมืองเว้จะได้รับความเสียหายจากพิษภัยของสงครามลงไปบ้าง แต่ก็ยังคงหลงเหลือร่องรอยแห่งความเจริญรุ่งเรืองของนครจักรพรรดิอยู่อีกไม่น้อยเช่นกัน แต่ละแห่งล้วนมีเรื่องราวน่าสนใจมากมายให้นักเดินทางได้เข้าไปเยี่ยมชม ตั้งแต่พระราชวัง สุสานจักรพรรดิ ตลอดตนแม่น้ำหอม แม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านใจกลางเมืองและด้วยความเจริญรุ่งเรืองในอดีต โบราณสถานอันงดงามและทรงคุณค่า วัฒนธรรมที่มีแบบฉบับของตนเอง เว้จึงได้รับการยืนยันจากองค์การยูเนสโกประกาศขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี พ.ศ. 2536 สิ่งเหล่านี้เองที่เป็นมนต์เสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาเยี่ยมเยือนเมืองมรดกโลกริมแม่น้ำหอมที่ไม่ได้สูญหายไปพร้อมกับกาลเวลาแห่งนี้

• สุสานจักรพรรดิตือดึ๊ก (Tomb of Tu Duc)
• ที่ตั้ง : อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเว้
• สุสานของพระเจ้าตือดึ๊ก แม้จะมีตัวอาคารไม่มากนัก แต่ก็มีความสวยงามลงตัวของสถานที่ ซึ่งตามบันทึกกล่าวว่าพระองค์ได้ทรงออกแบบเองเกือบทั้งสิ้น สุสานแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2407 ใช้เวลา 3 ปี จึงแล้วเสร็จ โดยใช้แรงงานคนถึง 3,000 คน พระเจ้าตือดึ๊กเป็นโอรสของพระเจ้าเถี่ยวตรีจักรพรรดิองค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์เหวียนที่ทรงครองราชย์นานถึง 36 ปี
• จุดเด่นน่าชมของสุสานแห่งนี้ คือ ตำหนัก 2 แห่งภายใต้อาคารไม้เก่าแก่ที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบลูเคียม อันรายล้อมด้วยดอกบัวที่บานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมไปทั่ว พระองค์ทรงใช้เวลาว่างในตำหนักแห่งนี้นิพนธ์บทกวีและพักผ่อนหย่อนใจด้วยการตกปลา ถัดมาที่ส่วนกลาวงของสุสานมีศิลาจารึกขนาดใหญ่ที่กล่าวถึงพระเกียรติคุณและเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นในรัชสมัย และอาคารทรงโรงขนาดใหญ่ที่ใช้เป็นโรงละครสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ส่วนตัวสุสานของพระองค์นั้นอยู่ด้านในสุด รายล้อมไปด้วยความร่มรื่นของทิวสน ต้นไม้ที่แสดงถึงความเป็นอมตะ เพราะมีต้นไม้เพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่มีใบเขียวตลอดปี ชาวเวียดนามจึงนำไปเปรียบเทียบกับความเป็นอมตะขององค์จักรพรรดิแห่งราชวงศ์เหวียน

• สุสานจักรพรรดิมินห์มาง (Tomb of Minh Mang)
• ที่ตั้ง : บริเวณปากน้ำตาตรัคและหูตรัค ซึ่งเป็ฯสาขาของแม่น้ำหอมมาบรรจบกัน บริเวณหมู่บ้านบานเวียด
• การก่อสร้างสุสานแห่งนี้เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2383 หรือ 1 ปี ก่อนสิ้นพระชนม์ และสำเร็จลงโดยพระเจ้าเถี่ยวตรี รัชทายาทของพระองค์ในปี พ.ศ. 2386 พระเจ้ามิงห์หม่างเป็นพระโอรสองค์ที่ 4 ของพระเจ้ายาลอง และเป็นจักรพรรดิองค์ที่ 2 ในราชวงศ์เหวียน พระองค์ทรงสร้างนครจักรพรรดิและได้รับการยกย่องอย่างสูงจากการที่ทรงปฏิรูปขนบธรรมเนียมประเพณีและเกษตรกรรม พระองค์ทรงยึดมั่นในแบบแผนการบริหาร การปกครองตามแบบจีน โดยการให้หัวเมืองต่างๆ มาขึ้นตรงต่อราชสำนัก รวมทั้งนโยบายต่อต้านฝรั่งเศสและปราบปรามพวกนอกศาสนาอย่างรุนแรง ซึ่งนโยบายนี้เองที่ทำให้เวียดนามตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสในเวลาต่อมา
• การเที่ยวชม : จุดแรกของการเยี่ยมชม คือ บริเวณลานกว้างที่มีรูปสลักหินของเหล่าบรรดาช้าง ม้า ทหาร และขุนนาง ที่ตั้งเรียงรายอยู่ สองฟากฝั่งผลงานชิ้นยอดของช่างฝีมือนิรนามหลายคน ถัดเข้ามาเป็นศิลาจารึกที่ตั้งแท่นบูชาดวงพระวิญญาณ และพระตำหนักด้านในที่แวดล้อมไปด้วยบึงน้ำและสวนอันร่มรื่น ซึ่งจากพระตำหนักนี้เอง สามารถมองเห็นหลุมฝังพระศพเป็นเนินดินวงกลมขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยรั้วสูง แต่ไม่เคยมีใครรู้เลยว่าตำแหน่งของที่ฝังพระศพที่แน่นอนนั้นอยู่ตรงไหน เพราะไม่อนุญาตให้ผู้ใด นอกจากผู้ที่ทำการฝังพระศพเข้าไปและผู้ที่ทำการฝังพระศพนั้นจะต้องฆ่าตัวตายตามพระองค์ด้วยเพื่อเป็นข้าราชบริพารรับใช้พระองค์ในภพหน้า

ไทดำ เดียนเบียนฟู เมืองแห่งชนชาติไท


• ชาวไทดำ
• ชาวไทดำ หรือ ชาวลาวโซ่ง เป็นกลุ่มชาวไทกลุ่มหนึ่ง ที่มีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ในเขตสิบสองจุไทเดิม หรือบริเวณลุ่มแม่น้ำดำ และแม่น้ำแดงในเวียดนามเหนือ ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ดั้งเดิมของชาวไทยมี ชาวไทดำ ชาวไทแดง และชาวไทขาว
• ในสมัยที่ฝรั่งเศสเข้ามาปกครองเวียดนาม และลาว พวกเขาได้เรียกชนเผ่าที่อยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำดำว่า ไทดำ ที่เรียกว่าไทดำ เพราะว่ากลุ่มชนเผ่าไทดังกล่าว นิยมสวมเสื้อผ้าสีดำอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งย้อมด้วยต้นหอมหรือต้นคราม
ประวัติการอพยพของชาวไทดำสู่ประเทศไทย
• ในปี พ.ศ. 2438 และ ปี พ.ศ. 2439 ได้เกิดการอพยพครั้งใหญ่ของชาวผู้ไทขึ้น สาเหตุก็มาจากศึกสงครามแย่งชิงอำนาจกัน ระหว่างบรรดาหัวหน้าของไทดำกลุ่มต่างๆ ในแคว้นสิบสองจุไท พวกเขาจึงได้อพยพเข้ามาในประเทศลาว และ ในภาคอีสานของประเทศไทย
• ในประเทศลาวนั้น ชาวไทดำส่วนมากได้ตั้งถิ่นฐานใน แขวงหลวงน้ำทา แขวงบ่อแก้ว แขวงอุดมชัย พงสาลี หัวพัน ซำเหนือ และแขวงต่างๆที่อยู่ทางภาคเหนือของประเทศลาว ส่วนในประเทศไทยนั้น ก็อพยพเข้ามาด้วยเช่นกัน โดยส่วนมากได้ตั้งถิ่นฐานในจังหวัดในภาคอีสานตอนบน เช่น อำเภอเรณูนคร อำเภอธาตุพนม และ อำเมืองเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม
• ในช่วงระหว่าง ปี พ.ศ. 2496 จนถึงปี พ.ศ. 2497 ได้เกิดสงครามในเมืองเดียนเบียนฟู ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองของแคว้นสิบสองจุไทเดิม ชาวผู้ไทจึงได้อพยพหลบหนีการเกณฑ์ทหารของฝรั่งเศส เข้ามาในประเทศลาวและไทยอีกครั้ง
• ชาวไทดำในประเทศไทย
• ในประเทศไทย คนไทยเรียกเรียกชาวไทดำว่า ลาวโซ่ง โซ่งนั้นน่าจะมาจากคำว่า ซ่วง หรือ ซ่ง ซึ่งเป็นภาษาไทดำ แปลว่ากางเกง เพราะว่าชาวไทดำเหล่านี้สวมกางเกงสีดำ
• ในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ครั้นพระองค์ทรงไปตีกรุงเวียงจันทน์ ในปี พ.ศ. 2322 พระองค์ทรงได้กวาดต้อนชาวไทดำที่อพยพมาจากสิบสองจุไท ส่งไปตั้งถิ่นฐานที่เมืองเพชรบุรี และต่อมาในปี พ.ศ. 2335 สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกและในปี พ.ศ. 2381 สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ก็ทรงยกทัพไปตีเวียงจันทน์ และก็ได้กวาดต้อนชาวไทดำมาอีก ซึ่งในปัจจุบันตั้งถิ่นฐานกระจายกันอยู่ในพื้นที่หลายจังหวัด เช่น ราชบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี พิจิตร พิษณุโลก กาญจนบุรี ลพบุรี สระบุรี ชุมพร และสุราษฎร์ธานี ปัจจุบันเรียกคนเหล่านี้ว่า ชาวไทยโซ่ง



เดียนเบียนฟู เมืองสมรภูมิฝรั่งเศส


• เดียนเบียนฟู
• เดียนเบียนฟู เป็นจังหวัดหนึ่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม ห่างจากกรุงฮานอยประมาณ 200 กิโลเมตร ทางทิศตะวันตกห่างจากชายแดนประเทศลาวเพียง 35 กิโลเมตร มีลักษณะเป็นที่ราบล้อมรอบด้วยภูเขาสูง และเป็นสมรภูมิรบอันลือลั่นในช่วงสงครามอินโดจีนครั้งแรก (พ.ศ. 2489 - 2497) ซึ่งเป็นการสู้รบระหว่างกองทัพฝรั่งเศสกับกองทัพฝ่ายต่อต้านการครอบครองของชาวเวียดนาม นำโดยโฮจิมินห์ ที่เรียกว่ากองทัพเวียดมินห์ การสู้รบครั้งนี้สิ้นสุดด้วยการพ่ายแพ้อย่างไม่น่าเชื่อของกองทัพฝรั่งเศส ที่มีทั้งกำลังคนและอาวุธทันสมัยกว่า และได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา
• การรบที่เดียนเบียนฟู เริ่มขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2497 เดิมทีฝรั่งเศสได้ยึดป้อมเดียนเบียนฟูที่อยู่กลางหุบเขาไว้ได้ ซึ่งนับเป็นจุดยุทธศาสตร์ เพราะมีชัยภูมิที่เป็นภูเขาล้อมรอบ ทำให้ยากแก่การเข้าโจมตี โดยฝรั่งเศสตั้งเป้าว่า ตราบใดที่รักษาเดียนเบียนฟูไว้ เวียดมินห์ก็ไม่สามารถรุกต่อไปได้ และจะกลายเป็นขวากหนามที่คอยกันไม่ให้เวียดมินห์เคลื่อนทหารได้ตามความต้องการ แต่ในขณะที่ฝรั่งเศส มีกำลังมั่นใจในความแข็งแกร่งของป้อมเดียนเบียนฟูอยู่นั้น โฮจิมินห์ได้อาศัยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของทหารประชาชน ซึ่งถอดปืนใหญ่ออกเป็นชิ้นๆ แล้วขนลำเลียงขึ้นไปบนยอดเขารอบเมืองเดียนเบียนฟูอย่างลำบากยากเย็น ครั้นประกอบปืนใหญ่เสร็จ ทหารเวียดมินห์ที่อยู่ตามยอดเขารอบป้อมเดียนเบียนฟู ก็ระดมยิงปืนใหญ่เข้าตีป้อมของฝรั่งเศสอย่างพร้อมเพรียงกัน จนป้อมเดียนเบียนฟูแตก ฝรั่งเศสต้องยอมพ่ายแพ้และถอนตัวไปจากเวียดนามในที่สุด การรบครั้งนี้ถือว่าเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของชาติเอเชียอาคเนย์เหนือชาติมหาอำนาจตะวันตก ขณะที่ข้อตกลงในการประชุมเจนีวาเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 1954 แบ่งเวียดนามออกเป็นเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ด้วยเส้นขนานที่ 17 ก่อนที่สงครามอินโดจีนครั้งที่ 2 หรือสงครามเวียดนามจะเกิดตามมาอีกใน 3 ปีถัดมา โดยสหรัฐฯเข้ามามีบทบาทในการสู้รบและก็พ่ายแพ้ไปในที่สุดเช่นกัน

• ชาวไทดำ หรือ ชาวลาวโซ่ง เป็นกลุ่มชาวไทกลุ่มหนึ่ง ที่มีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ในเขตสิบสองจุไทเดิม หรือบริเวณลุ่มแม่น้ำดำและแม่น้ำแดงในเวียดนามเหนือ ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ดั้งเดิมของ ชาวไทดำ ชาวไทแดง และชาวไทขาว
   ในสมัยที่ฝรั่งเศสเข้ามาปกครองเวียดนาม และลาว พวกเขาได้เรียกชนเผ่าที่อยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำดำว่า ไทดำ ที่เรียกว่าไทดำ เพราะว่ากลุ่มชนเผ่าไทดังกล่าว นิยมสวมเสื้อผ้าสีดำอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งย้อมด้วยต้นหอมหรือต้นคราม
• การอพยพของชาวไทดำสู่ประเทศไทย
• ในปี พ.ศ. 2438 และ ปี พ.ศ. 2439 ได้เกิดการอพยพครั้งใหญ่ของชาวผู้ไทขึ้น สาเหตุก็มาจากศึกสงครามแย่งชิงอำนาจกัน ระหว่างบรรดาหัวหน้าของไทดำกลุ่มต่างๆ ในแคว้นสิบสองจุไท พวกไทดำจึงได้อพยพเข้ามาในประเทศลาวและในภาคอีสานของประเทศไทย
ในประเทศลาวนั้น ชาวไทดำส่วนมากได้ตั้งถิ่นฐานใน แขวงหลวงน้ำทา แขวงบ่อแก้ว แขวงอุดมชัย แขวงหัวพัน และ แขวงซำเหนือ ส่วนในในประเทศไทยนั้น ก็อพยพเข้ามาด้วยเช่นกัน โดยมา้ตั้งถิ่นฐานในภาคอีสานตอนบน เช่น จังหวัดนครพนม, กาฬสินธุ์, มุกดาหาร, ร้อยเอ็ด และ สกลนคร
• ในช่วงระหว่าง ปี พ.ศ. 2496 จนถึงปี พ.ศ. 2497 ได้เกิดสงครามในเมืองเดียนเบียนฟู ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองของแคว้นสิบสองจุไทเดิม ชาวผู้ไทจึงได้อพยพหลบหนีการเกณฑ์ทหารของฝรั่งเศส เข้ามาในประเทศลาวและในประเทศไทยอีกระรอบ
• ชาวไทดำในประเทศไทย
ในประเทศไทย คนไทยเรียกเรียกชาวไทดำว่า ลาวโซ่ง คำว่า “โซ่ง” นั้นน่าจะมาจากคำว่า ซ่วง หรือ ซ่ง ซึ่งเป็นภาษาไทดำ แปลว่ากางเกง เพราะว่าชาวไทดำเหล่านี้สวมกางเกงสีดำ
• ในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ครั้นพระองค์ทรงไปตีกรุงเวียงจันทน์ ในปี พ.ศ. 2322 พระองค์ทรงได้กวาดต้อนชาวไทดำที่อพยพมาจากสิบสองจุไท ส่งไปตั้งถิ่นฐานที่เมืองเพชรบุรี และต่อมาในปี พ.ศ. 2335 สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกและในปี พ.ศ. 2381 สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ก็ทรงยกทัพไปตีเวียงจันทน์ และก็ได้กวาดต้อนชาวไทดำมาอีก ซึ่งในปัจจุบันตั้งถิ่นฐานกระจายกันอยู่ในพื้นที่หลายจังหวัด เช่น ราชบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี พิจิตร พิษณุโลก กาญจนบุรี ลพบุรี สระบุรี ชุมพร และสุราษฎร์ธานี ปัจจุบันเรียกคนเหล่านี้ว่า ชาวไทยโซ่ง



รถไฟไปซาปา ตลาดบัคฮา ตลาดชาวเขาซาปา


ตลาดบัคฮา
• ตลาดบัคฮา : ตั้งอยู่ในจังหวัดบัคฮา ห่างจากซาปา 110 กิโลเมตร ตลาดบัคฮาเป็นตลาดที่ขึ้นชื่อของเวียดนามเหนือเป็นศูนย์รวมสีสันแห่งชนเผ่าในภูมิภาคนี้ จังหวัดบัคฮา เป็นจังหวัดเล็กๆ อยู่ใกล้กับชายแดนประเทศจีน ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวเขาเผ่าต่างๆ อยู่รวมกัน และยังเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์วัฒนธรรมที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศเวียดนาม ในวันอาทิตย์ ตลาดบัคฮา จะเป็นวันที่มีสีสันที่สุดในรอบสัปดาห์ เพราะชาวเขาเผ่าต่างๆ จะเดินทางลงมาเพื่อเลือกซื้อข้าวของไปใช้ สินค้าส่วนใหญ่ที่ขึ้นชื่อในตลาดจะเป็นผ้าทอมือที่มีลวดลายสีสันและเป็นเอกลักษณ์



เที่ยวเวียดนาม ซาปา เวียดนามเหนือ เมืองแห่งขุนเขาและหิมะแห่งประเทศเวียดนาม



• ซาปา
• ที่ตั้ง : ซาปา ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของประเทศเวียตนาม ใกล้กับชายแดนจีน ห่างจากกรุงฮานอยประมาณ 350 กิโลเมตร อยู่ในเขตจังหวัดลาวไค สูง 1,650 เมตร มีอากาศหนาวเย็นตลอดปี ทำให้เพาะปลูกพืชผักผลไม้เมืองหนาวได้ดี และเป็นดินแดนแห่งขุนเขาที่มีความหลากหลายของชาติพันธุ์มากที่สุดในประเทศเวียตนาม
• ในอดีตเมืองซาปาเคยถูกให้สร้างขึ้นเป็นเมืองตากอากาศของชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาปกครองในสมัยยุคอาณานิคม ในปี พ.ศ. 2465 และได้มีการสร้างสถานีภูเขาขึ้น เพราะด้วยเมืองซาปาโอบล้อมด้วยขุนเขาน้อยใหญ่จึงทำให้มีอากาศเย็นตลอดปี ชาวเวียตนามและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในฮานอย ก็จะหาเวลาพักผ่อนในช่วงวันหยุดมาที่นี่ และยังมีการทำนาขั้นบันไดมากมายท่ามกลางลาดไหล่เขาที่ทอดตัวอย่างสวยงาม เมื่อซาปาเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวมากขึ้น ก็มีการขยายตัวด้านการท่องเที่ยว มีอาคารสมัยใหม่เกิดขึ้นจำนวนมาก มีโรงแรม ร้านอาหารแบบตะวันตก และร้านคาราโอเกะ
สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองซาปา

• หมู่บ้านกัตกัต (Cat Cat Village)
• ที่ตั้ง : หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ห่างจากเมืองซาปา 3 กิโลเมตร
• หมู่บ้านกัตกัต เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ของชาวเผ่าม้งซึ่งอพยพมาจากประเทศจีน มีเครื่องแต่งกายที่นิยมโทนสีน้ำเงินเข้มหรือดำ ที่นี่มีวิวทิวทัศน์ของนาขั้นบันได นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาเที่ยวชมหมู่บ้านนี้ได้ง่าย

• หมู่บ้านต่าฟาน (Ta Van Village)
• ที่ตั้ง : หมู่บ้านต่าฟาน อยู่ทางทิศใต้ของเมืองซาปาประมาณ 10 กิโลเมตร
• หมู่บ้านต่าฟาน เป็นหมู่บ้านของชาวเขาหลายเผ่ามาอยู่รวมกัน แต่จะมีประชากรของเผ่า Giay ซึ่งถือเป็นชนเผ่าที่มีประชากรค่อนข้างเยอะในเวียตนาม ซึ่งในความหลากหลายของคนพื้นเมืองทำให้เห็นความแตกต่างของการแต่งกาย ซึ่งแต่ละเผ่าก็จะแตกต่างกันออกไปและยังมีภาษาพูดเฉพาะอีกด้วย การเข้ามาชมหมู่บ้านแห่งนี้เพื่อชมวิถีชีวิตของชาวเขา และสัมผัสทัศนียภาพของนาขั้นบันได ซึ่งมีเทือกเขาฟานสีปันเป็นฉากหลัง มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามมากๆ

• น้ำตกซิลเวอร์ (Silver Waterfall)
ที่ตั้ง : อยู่ริมถนนทางไปไลโจว (Lai Chau)
น้ำตกซิลเวอร์ เป็นน้ำตกที่มีความสวยงาม อยู่ริมถนน และสามารถมองเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ไกล มีความสูงประมาณ 100 เมตร ไหลเลาะลงมาจากหน้าผาหิน นักท่องเที่ยวสามารถเดินไปชั้นบนของน้ำตกได้แต่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมประมาณ 3,000 ดอง

• ตรามตอนพาส (Tram Ton Pass)
• ที่ตั้ง : อยู่ริมถนนทางไปไลโจว (Lai Chau)
• ตรามตอนพาส เป็นจุดชมวิวสูงสุดในบริเวณซาปา และเป็นจุดสูงสุดในเวียตนาม ความสูง 1,900 เมตร และยังเป็นเขตรอยต่อระหว่างจังหวัดลาวไคกับจังหวัดไลโจว เป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ของ เทือกเขาฟาสีปันได้อย่างสวยงามมากๆ จะเห็นทิวเขาสลับซับซ้อนและจะเห็นถนนคดเคี้ยวไปตามริมหน้าผาเพื่อตัดลงสู่ที่ราบต่อไปจนถึงเมืองไลโจว

• การเดินทางท่องเที่ยวภายในเมืองซาปา
• การท่องเที่ยวภายเมืองซาปาคือการเดินเที่ยวชมเมือง เพราะสถานที่แต่ละแห่งอยู่ไม่ไกลกันมาก สามารถหยุดแวะชมเลือกซื้อสินค้าได้ตามสะดวก ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเริ่มต้นจากใจกลางเมืองแล้วเลาะเลียบไปตามถนนเส้นหลัก เพื่อไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ แต่สำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายก็มีมอเตอร์ไซด์ให้บริการ มีให้เลือกทั้งแบบขับเที่ยวชมเอง หรือจะเลือกใช้บริการมอเตอร์ไซด์รับจ้างก็ได้เช่นกัน
• ส่วนการเดินทางมาท่องเที่ยวสถานที่ต่างๆ รอบตัวเมือง แนะนำให้เลือกซื้อแพ็คเกจทัวร์เดย์ทริปหรือทัวร์วันเดียวจากบริษัทผู้ประกอบการท่องเที่ยว สำหรับนักท่องเที่ยวที่นิยมเดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวเองก็สามารถทำได้โดยการเช่ารถจักรยานเสือภูเขา มอเตอร์ไซด์รับจ้าง หรือถ้ามาเป็นหมู่คณะแนะนำให้เหมารถตู้ เพราะคุณสามารถให้รถจอดแวะชมได้ทุกแห่งที่ต้องการ
• การเดินทางจากประเทศไทย
ทางรถยนต์ : จากกรุงเทพฯ ใช้บริการรถโดยสารประจำทางไปยังจังหวัดหนองคาย จากนั้นข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว เดินทางไปยังนครเวียงจันทน์ มีรถโดยสารเดินทางจากนครเวียงจันทน์ไปยังกรุงฮานอย ประเทศเวียตนาม จอดอยู่ตรงข้ามดับโรงแรมเจริญชัย ติดกับสถานทูตอเมริกา วันละ 1 เที่ยว คือ เวลา 18.00 น. ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 15 – 16 ชั่วโมง เมื่อถึงกรุงฮานอย ก็สามารถเดินทางไปยังเมืองซาปา ที่ตั้งอยู่ห่างจากกรุงฮานอยมาราว 350 กิโลเมตร
เครื่องบิน : สามารถใช้บริการของสายการบินไทย สายการบินไทยแอร์เอเชีย และสายการบินเวียตนามแอร์ไลน์ ที่มีบริการเที่ยวบินสู่กรุงฮานอย
• จากฮานอยสู่ซาปา
• การเดินทาง สามารถเดินทางโดยรถยนต์หรือรถไฟมาที่เมืองลาวไค (สำหรับการเดินทาง แนะนำให้ใช้รถไฟตู้นอนจะสะดวกกว่า ซึ่งหาซื้อตั๋วรถไฟได้ตามโรงแรม หรือบริษัทผู้ประกอบการท่องเที่ยวในฮานอน) เมื่อถึงเมืองลาวไค ก็ต่อรถตู้ที่ให้บริการอยู่ด้านหน้าสถานีรถไฟไปเมืองซาปา ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ระยะทาง 38 กิโลเมตร ส่วนเที่ยวกลับจากซาปาคุณสามารถซื้อตั๋วรถไฟที่สถานีรถไฟได้เลยครับ


ทัวร์เวียดนาม ล่องอ่าวฮาลองเบย์ ถ้ำสวรรค์



• สำหรับการเที่ยวทัวร์เวียดนาม ลองเรืออ่าวฮาลองเบย์ นอกจากได้ชมความงามของทิวทัศน์อันสวยงามของอ่าวฮาลองแล้ว ยังมีการได้ไปเที่ยวชมถ้ำอีกด้วย เช่น ถ้ำเด่าโก๋ (Dao Go) หรือที่เรียกกันว่า "ถ้ำสวรรค์" ซึ่งเป็นถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยตระการตา โดยในถ้ำแห่งนี้มีห้องโถงใหญ่รอรับคนเดินทางอยู่ด้วยกัน 3 ห้อง
• จากถ้ำอันสวยงามนี้ก็เดินทางต่อจะเป็นโปรแกรมพายเรือและเล่นน้ำ เพื่อจะได้สัมผัสอ่าวฮาลองอย่างใกล้ชิด หรือหากไม่ชอบเล่นน้ำจะทิ้งเวลาไปกับทิวทัศน์อันสวยงามหรือเก็บภาพความทรงจำก็ได้



เที่ยวเวียดนาม : ฮาลองเบย์



เที่ยวเวียดนาม : สำหรับการเที่ยวเวียดนาม สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับทริปเที่ยวเมืองฮานอย นั่นก็คือการได้มาเที่ยวล่องเรือชมบรรยากาศแห่งอ่าวฮาลอง ซึ่งอาวฮาลองแห่งนี้ได้รับการจัดให้เป็นแห่งท่องเที่ยวเที่ยวทางธรรมชาติ และยังได้รับให้จัดเป็นมรดกโลกอีกด้วยครับ

• ฮาลองเบย์ : มหัศจรรย์แห่งอ่าวมังกรตกน้ำ (มรดกโลกทางธรรมชาติเวียดนาม)
• สำหรับอ่าวฮาลอง หรือ ฮาลองเบย์ นั้นได้ตามนิทานปรัมปราของชาวเวียดนาม ที่กล่าวถึงมังกรโบราณซึ่งเคยร่อนมาลงในอ่าวนี้เมื่อครั้งดึกดำบรรพ์ และชื่อของฮาลอง ก็แปลได้ว่า มังกรร่อนลง จากความสวยงามและสมบูรณ์ของอ่าวฮาลอง ทำให้ที่นี่ประกาศได้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ จากองค์กรยูเนสโก ในปี พ.ศ. 2537 ซึ่งเป็นเสมือนประกาศนียบัตรที่ใครเห็นต่างเชื่อถือ จึงทำให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือนประเทศเวียตนาม ต้องล่องเรือมาชมอ่าวฮาลองเพื่อสัมผัสกับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ
• ที่ตั้ง : อ่าวฮาลองตั้งอยู่ในจังหวัดกว่างนิงห์ (Quang Ninh) ตั้งอยู่ทางเหนือของกรุงฮานอย เป็นอ่าวแห่งหนึ่งในพื้นที่ของอ่าวตังเกี๋ยทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม ใกล้ชายแดนติดต่อกับประเทศจีน มีพื้นที่ทั้งหมด 1,500 ตารางกิโลเมตร และมีชายฝั่งยาว 120 กิโลเมตร
• การเดินทาง : จากฮานอย มีรถบัสไปยังเมืองฮาลอง ซึ่งห่างออกไป 160 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง และจากสถานีรถบัสไปท่าเรืออ่าวฮาลองอีก 15 นาที จากนั้นไปต่อเรือที่ท่าเรือเฟอรี่ ซึ่งจะมีเรือไปยังเกาะกั๊ตบา (Cat Ba Island) หรือจากฮานอยนั่งรถลงมาที่จังหวัดไฮฟอง (Haiphong) จากสถานีรถบัสไปท่าเรือใช้เวลา 10 นาที มีเรือไฮโดรฟรอยไปยังเกาะกั๊ตบา ใช้เวลา 2 ชั่วโมง
• ลักษณะทั่วไปของอ่าวฮาลอง คล้ายๆกับ อ่าวพังงา หรือเกาะต่างๆ ในประเทศไทย แต่อ่าวฮาลองจะเต็มไปด้วยเกาะกว่า 3,000 เกาะ และมีเนื้อที่กว่า 4,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอ่าวตังเกี๋ยทะเลจีนใต้
• เรือท่องเที่ยวในอ่าวฮาลอง ส่วนใหญ่เป็นเรือขนาดกลางมีห้องพักบนเรือ และมีการสร้างหัวมังกรไว้ที่หัวเรือ แต่มีบางลำได้สร้างเป็นลักษณะของเรือใบย้อนยุค เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกลิ่นอายแห่งการเดินเรือในอดีต เมื่อเรือออกจากท่าไม่นานก็เข้าสู่ดินแดนแห่งความงดงามที่แต่งแต้มเติมเต็มด้วยหมู่เกาะน้อยใหญ่วางสลับเรียงรายดูแปลกตายิ่งนัก หากเปรียบเทียบกับทางอ่าวพังงาของประเทศไทย จะมีลักษณะคล้ายกัน แต่ที่อ่าวฮาลองจะกว้างกว่ามาก ในบริเวณเกาะใหญ่ๆ ที่หลบลมได้ก็มีชาวบ้านมาอาศัยทำประมงด้วย มีการเลี้ยงปลาในกระชังอยู่หลายๆ จุด
• เกาะกั๊ตบา
• เกาะกั๊ตบามีเนื้อที่ทั้งหมดราว 190 ตารางกิโลเมตร ชาวพื้นเมืองส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมงและเลี้ยงปลาในกระชัง สภาพทั่วไปของเกาะ ด้านในที่เป็นภูเขาจะมีต้นไม้ขึ้นอยู่หนาแน่น เพราะเป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติ ซึ่งได้จัดตั้งขึ้นเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมเมื่อปี ค.ศ.1970 มีความหลากหลายทางชีวภาพค่อนข้างสูง ทั้งยังเป็นแหล่งโบราณคดีที่สำคัญอีกด้วย เพราะมีการค้นพบโครงกระดูกมนุษย์และเครื่องมือที่ทำจากหินจากหินยุคใหม่ภายในถ้ำบนเกาะแห่งนี้ด้วย

• ราตรีที่เมืองฮาลอง ปัจจุบันเมืองฮาลองได้เติบโตแบบรวดเร็ว แหล่งท่องเที่ยวมีทั้งร้านอาหาร บาร์เบียร์เล็กๆ รวมทั้งร้านขายของที่ระลึก เปิดแผงกันเหมือนตลาดโต้รุง มีสินค้าให้เลือกช้อปปิ้งกันมากมาย...



ท่องเที่ยวเวียดนาม ฮาลองบก นิงห์บิงห์



ฮาลองบกคืออะไร คงได้คำตอบจากภาพชุดนี้   หลายคนที่เห็นบรรยากาศแล้วคิดว่าคงอยากเที่ยวกัน  เพราะจะได้สัมผัสธรรมชาติและชนบทของเวียดนามอย่างแท้จริง

เมืองนิงห์บิงห์ที่กำลังพาเที่ยวอยู่นี้เป็นเมืองชนบทเล็กๆของกรุงฮานอย หรือ เมืองหลวงของเวียดนาม

ฮานอยมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติสำคัญได้แก่ฮาลองเบย์ หรืออ่าวฮาลอง  ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกมาเมื่อ 17 ปีมานี้เอง คนไทยรู้จักอ่าวฮาลองมากขึ้นนับจากเวียดนามเริ่มเปิดประเทศใหม่ๆ  หรือหลังรวมเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้เข้าด้วยกัน  ขณะเดียวกันก็มีภาพยนต์สารคดีท่องเที่ยวเรื่องอ่าวฮาลองออกสู่สายตาชาวโลกพร้อมๆกับสถานท่องเที่ยวอื่นๆของเวียดนาม

ทุกวันนี้บริเวณท่าเรือฮาลองมีความคึกคักและเนืองแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวนับเป็นจำนวนหลายหมื่นคนในแต่ละวัน  จนบางครั้งเรือท่องเที่ยวไม่พอให้บริการ

ฮาลองเบย์หากเปรียบเทียบกับบ้านเราก็คล้ายๆกับอ่าวพังงา หรือหมู่เกาะพังงา  แต่อ่าวฮาลองของเวียดนามมีพื้นที่กว้างขวางกว่านับสิบๆเท่า และยังมีเกาะเล็กเกาะน้อยอีกนับเป็นพันๆเกาะ  บริเวณนี้อ่าวฮาลองจึงปลอดจากคลื่นลูกใหญ่ๆและพายุฝนที่ซัดเข้าเวียดนามเป็นประจำทุกปี

ส่วนฮาลองบก  เป็นชื่อที่คนไทยตั้งฉายาให้  เพราะแตกต่างกับการเที่ยวฮาลองเบย์ที่ต้องนั่งเรือท่องเที่ยวขนาดจุผู้โดยสารราว 60-70 คน แต่ฮาลองบกนี้ตรงกันข้ามเพราะใช้เรือแจวขนาดเล็กๆนั่งได้ราว 3-4 คน  โดยมีชาวบ้านเป็นคนพาย  ต่างกับบ้านเราที่ส่วนใหญ่นิยมใช้เรือหางยาว มีเสียงดัง และหนวกหูมาก

เรือแจวหรือเรือพายของเวียดนามค่อนข้างแปลกกว่าที่อื่นๆ  เรือแต่ละลำจะมีไม้พายขนาดใหญ่ 2 ข้าง  ผูกยึดไว้กับกาบเรือ  เวลาพายจะต้องโยกไม้พายไปข้างหน้าพร้อมๆกันทั้งสองข้าง เรือแจวแบบนี้คล้ายเรือแคนูของยุโรป  ต่างกันตรงที่เรือแคนูจะนั่งกลับหลัง  ส่วนเรือแจวของเวียดนามจะนั่งหันหน้าไปตามปกติ  ที่แปลกกว่าเรืออื่นๆตรงที่หากคนพายเมื่อยมือก็จะใช้เท้าแทน  ได้ยินว่าการใช้เท้าจะทุ่นแรงกว่าการใช้มือ

เรือแจวที่ฮาลองบกเป็นเรือลำเล็กๆแบบชาวบ้าน  ไม่ได้ดัดแปลงอะไรเป็นพิเศษ และไม่มีหลังคา  ฝนตกก็สนุกสนานกันตามระเบียบ

วันนั้นหลังทานข้าวกลางวันเสร็จก็ออกมาอยู่ลานกว้างเพื่อเตรียมลงเรือ ปรากฏว่าเจอทั้งฝนและลมค่อนข้างแรง  แต่มีบริการร่มและเสื้อกันฝนขายในราคาถูกประเภทใช้ครั้งเดียวแล้วต้องทิ้งเพราะมันบอบบางมาก  โดยเฉพาะร่มที่เป็นของนำเข้าจากจีน ต้องบอกว่าห่วยมาก  เจอลมแรงเข้าหน่อยมันก็กระดกลู่ตามลมเฉยเลย  เรียกว่าหงายเก๋งไม่เป็นท่า  แถมโครงลวดหักหลุดลุ่ย  ในที่สุดก็ต้องใช้มือคอยช่วยจับร่มที่พิกลพิการ

ส่วนเสื้อฝนก็บางแสนบาง  ประมาณว่าหนากว่าถุงก๊อปแก๊ปขึ้นมาหน่อย  แต่พอใส่แล้วปรากฏว่ากระดุมใช้ไม่ได้  พยายามแล้วพยายามอีก  ในที่สุดมันก็ขาด   จึงต้องทำใจยอมใส่มันทั้งอย่างนั้น  อย่างน้อยๆก็พอช่วยปกปิดไม่ให้กล้องเปียกฝน

งานนี้เลยทุลักทุเลพอสมควร  

พอเรือออกสู่ที่โล่ง ทั้งลมและฝนก็สาดเป็นระรอกจนต้องเก็บกล้อง  นานๆจึงจะหยิบออกมาถ่ายสักครั้ง ถ่ายเสร็จก็ต้องรีบเช็ด  ดีที่พกผ้าเช็ดหน้าติดกระเป๋ากล้องไปด้วย  จึงพอแก้ขัดใช้บังฝนไปได้บ้าง

ภาพจากฮาลองบกที่เห็นในชุดนี้ถือว่าได้ภาพน้อยกว่าที่ควรจะเป็น  แต่ก็ยังพอให้เห็นบรรยากาศในบริเวณนั้นว่าน่าสนใจเพียงใด  และต้องบอกก่อนว่า   พื้นน้ำที่เห็นเป็นทะเลสาบนั้นก็คือทุ่งนาดีๆนี่เอง แต่เนื่องจากช่วงนี้เป็นฤดูน้ำหลากจึงดูคล้ายทะเลสาบ  น้ำลดเมื่อไหร่ชาวบ้านเค้าก็จะลงมือทำนา

จากทะเลสาบก็จะมีทุ่งนาขึ้นมาแทน  ปรากฏการณ์ของธรรมชาติเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี  นอกจากนี้ช่วงน้ำหลากชาวนาก็ยังมีรายได้พิเศษจากการพายเรือรับ-ส่งนักท่องเที่ยว  โดยคณะกรรมการชุมชนได้จัดระเบียบให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วม  เป็นการการจายรายได้ให้ทัดเทียมเท่ากัน

ฮาลองบกหากมาในช่วงต้นข้าวโตเต็มที่  จะเป็นภาพที่สวยงามไปอีกแบบหนึ่ง  ใครอยากเห็นทะเลสาบกลายเป็นทุ่งนาก็ต้องสอบถามหาข้อมูลกันให้ดีๆ  จะได้มาเที่ยวแล้วไม่ผิดหวัง ทางที่ดีน่าจะมาแบบแบคแพคหรือมากันเอง จะได้มีเวลาถ่ายภาพได้มากขึ้น

ปัจจุบันเข้าใจว่าทุกอย่างน่าจะเข้ารูปเข้ารอยมากขึ้น  ทั้งเรื่องพาหนะการเดินทางและเรื่องที่พัก  ระยะทางราว 100 กม.จากกรุงฮานอย  ถือว่าไม่ไกลนัก  นั่งเครื่องจากสุวรรรภูมิมาถึงฮานอยราว 11 โมงเช้า  เที่ยวและนอนค้างที่ฮานอยสักคืน  แล้วเดินทางต่อไปที่นิงห์บินห์ จะเหมาแท็กซี่ไปก็ไม่แพงมากนัก  ไปถึงนิงห์บิงห์แล้วมีที่เที่ยวแบบชนบทมากมาย  หรือเช่าจักรยานเที่ยวประเภท Trekking tour  ขี่จักรยานเที่ยวไปในชนบทแล้วได้รู้ได้เห็น และได้สัมผัสกับคนเวียดนามได้อย่างใกล้ชิด  ธรรมชาติก็สวยงาม  น่าเที่ยวมาก  ใครไปเห็นแล้วก็อยากให้เวียดนามมีสภาพเช่นนี้ไปอีกนานๆ  ,เพราะหาไม่ได้อีกแล้วในย่านนี้ นาข้าวสุดลูกหูลูกตาจะหาได้ที่ไหน น้ำท่าก็สมบูรณ์

ประเทศเวียดนามมีเสน่ห์ก็ตรงที่มีความเป็นธรรมชาติในทุกหนทุกแห่ง  การทำนายังเป็นอาชีพหลัก  และทำกับแบบดั่งเดิมโดยไม่พึ่งพาเครื่องทุ่นแรง

มาเที่ยวฮาลองบกช่วงนี้เห็นแต่ทะเลสาบ  แต่พอมาอีกช่วงหนึ่งพื้นที่เหล่านี้จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวของต้นข้าว   ใครอยากเห็นภาพตามตัวอย่างจากบางเว็บไซต์ก็ต้องรอให้ถึงช่วงเวลานั้น

ระดับน้ำที่เห็นในทะเลสาบนี้ความจริงแล้วสูงราว1 - 2 เมตรเท่านั้นเอง  ขณะนั่งเรือก็ยังเห็นต้นหญ้าอยู่เบื้องล่าง   มาเที่ยวที่นี่แล้วจึงไม่ต้องกังวลว่าจะตกเรือจมน้ำ  เพราะไม่ลึกจนเกินไป  แต่เพื่อความปลอดภัยเจ้าหน้าที่ก็ยังต้องคอยระวัง  โดยพายเรือปะปนไปกับนักท่องเที่ยว  โดยเฉพาะวันนี้ที่ถือว่าน่าเป็นห่วงกว่าวันอื่นๆ  มีรายงานว่าศูนย์กลางของพายุช้างสารกำลังเคลื่อนผ่านเมืองนี้

มาคราวนี้เจอทั้งลมและฝนชนิดสะใจมาก  ได้อรรถรสทั้งกายและใจเลยทีเดียว  เป็นประสบการณ์ที่หลายคนอาจไม่ได้เจอ  เพราะพายุฝนที่เห็นนี้ดูทีท่าว่าจะแรงขึ้นเรื่อยๆ  นี่คงเป็นการทักทายของพายุ “ช้างสาร”  ที่กำลังจะมาเยื่อนเมืองนิงบินห์และเมืองอื่นๆที่อยู่ในแนวเดียวกัน

เที่ยวฮาลองบก  ทำให้เห็นสภาพชีวิตความเป็นอยู่ชาวนาของเวียดนามว่ามีวิถีชีวิตที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ โดยเฉพาะเรื่องน้ำที่ถือว่าเป็นหัวใจหลักของอาชีพเกษตรกรรม  เป็นความอุดมสมบูรณ์ที่ได้เปรียบกว่าประเทศอื่นๆมาก คนเวียดนามจึงคุ้นเคยกับเรื่องฝนฟ้า  รวมไปถึงพายุรุนแรงที่มักมาเยือนกันเป็นประจำทุกปี

เราเคยคิดว่าเมืองไทยเราอุดมสมบูรณ์กว่าประเทศอื่นๆในภูมิภาคนี้ แต่ถ้าหากมีโอกาสมาเที่ยวเวียดนามแล้วคงต้องปรับเปลี่ยนความเชื่อนี้กันใหม่ เพราะไปทางไหน  และไม่ว่าเมืองไหนๆของเวียดนามก็มีแต่ความอุดมสมบูรณ์

เมืองไทยสภาพที่ดูเป็นชนบทแบบเมืองนิงห์บิงห์นี้มันกลายเป็นอดีตที่ผ่านพ้นไปหลายสิบปีแล้ว  หรือยุคสมัยที่บ้านเรือนในชนบทยังมุงหลังคาบ้านด้วยหญ้าคาหรือมุงจาก  มีกองฟางอยู่ปลายทุ่ง  และปล่อยไอ้ทุยให้เล็มหญ้าอยู่ในคอกเล็กๆภายในบ้าน  ยามค่ำคืนก็สุมไฟไล่ยุง  นี่เป็นภาพในอดีตที่เราไม่สามารถย้อนกลับไปได้

แต่เวียดนามเป็นประเทศยังไม่เติบโตเท่าประเทศไทย   จึงยังพบเห็นภาพชนบทแบบดั่งเดิมกันได้ในหลายๆแห่ง  เรียกว่าไม่ว่าจะไปเมืองไหนๆก็ต้องเจอ

นั่งฮาลองบกคราวนี้ถือว่าสัมผัสธรรมชาติกันอย่างเต็มอิ่มท่ามกลางสายฝน  จนทางท่าเรือต้องหยุดให้บริการหลังจากที่คณะของเราออกจากฝั่งได้ไม่นาน  จะเรียกว่าเป็นชุดสุดท้ายก็ว่าได้  เพราะช่วงขากลับปรากฏว่าไม่มีเรือนักท่องเที่ยวแล่นสวนมาแม้แต่ลำเดียว  ส่วนที่เห็นกลุ่มใหญ่ในช่วงแรกๆนั้น  พวกเค้ากำลังพายเรือกลับเข้าฝั่งกัน

การล่องฮาลองบกที่นิงห์บิงห์บริเวณนี้เรียกว่า Tam Coc  แปลว่า 3 ถ้ำ (Tam แปลว่า 3  Coc แปลว่าถ้ำ )  ระหว่างทางเรายังมีโอกาสลอดถ้ำที่มืดสนิท  และไม่มีไฟฉายส่องทาง  ถือว่าเป็นความชำนาญของชาวบ้านที่พายเรือให้เรานั่ง

ยังมีอีกแห่งหนึ่งที่มีสภาพใกล้เคียงกัน  หรือฮาลองบกแห่งที่สอง  และพึ่งเปิดบริการเมื่อไม่กี่เดือนมานี้  มีชื่อว่า  Hoa Lu  อยู่ห่างกับ Tam Coc ราว  2 กม. หรืออยู่คนละด้านของภูเขาของเขตอุทยานแห่งเดียวกัน สภาพทั่วๆไปคงไม่ต่างกับแห่งแรกมากนัก  แต่อนาคตหากมีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นก็คงเป็นที่นิยมไม่แพ้กัน

การล่องเรือพายชมธรรมชาติท่ามกลางขุนเขาและทะเลสาบน้ำตื้น  ที่สมบูรณ์แบบนี้  คงหาชมได้ยากสำหรับประเทศอื่นๆ   หรืออาจมีที่นี่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น

การที่เวียดนามนำเอาวิถีชีวิตแบบพื้นบ้านหรือฮาลองบกนี้มาเป็นจุดขายเพื่อการท่องเที่ยว   เป็นการอาศัยความได้เปรียบทางธรรมชาติมาช่วยสร้างรายได้ให้ชาวบ้านในชนบท  หากมองเผินๆแล้วแทบไม่ต้องลงทุนอะไรมากเลย   ขณะเดียวกันก็สอดคล้องกับการท่องเที่ยวในเชิงอนุรักษ์ ในช่วงที่เกิดภาวะโลกร้อน



พิพิธภัณฑ์ทหาร ฮานอย สงครามเวียดนาม




• สงครามเวียดนาม
• สงครามเวียดนาม (ค.ศ. 1957-1975) เป็นสงครามระหว่างเวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้ เวียดนามเหนือได้รับการสนับสนุนจากรัสเซียและจีน ส่วนเวียดนามใต้ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา สงครามเวียดนามจบลงด้วยชัยชนะของเวียดนามเหนือและรวมประเทศเวียดนามทั้งสองเข้าด้วยกัน
• สาเหตุของสงครามเวียดนาม
• เหตุผลของการเกิดสงครามเวียดนามก็คือไม่ต้องการให้ประเทศเวียดนามตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศอื่น ซึ่งในเวลาก่อนหน้านั้นประเทศเวียดนามเองก็ตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศฝรั่งเศษ จากนั้นก็ถูกญี่ปุ่นมารุกราน จีนก็เข้ามาบ้างเป็นครั้งคราว จึงเกิดขบวนการเวียดมินท์ขึ้นเพื่อปลดปล่อยประเทศเวียดนามและต้องการรวมชาติให้เป็นเวียดนามเพียงหนึ่งเดียว
• ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ขบวนการเวียดมินห์ ได้เกิดขึ้นโดย โฮจิมินห์ เป็นผู้นำ เพียงหวังว่าจะขับไล่ญี่ปุ่นออกจากประเทศไปเท่านั้น แต่ในปี ค.ศ. 1944 พวกเวียดมินห์ได้ตั้งกองบัญชาการกองโจรขึ้นโดยได้รับการสนับสนุนกำลังและอาวุธจากสหรัฐอเมริกา
• ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1945 ญี่ปุ่นกำลังจะแพ้สงครามในสงครามโลก ชาวเวียดนามกลุ่มต่างๆ ที่ดิ้นรนเพื่อเป็นเอกราช มีผู้นำคือ พระจักรพรรดิเบาได๋ ซึ่งเคยเป็นจักรพรรดิแคว้นอันนัม ได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็น "จักรพรรดิแห่งเวียดนาม"
• ปี ค.ศ. 1948 โงดินห์เตียมได้เสนอให้ฝรั่งเศสยกฐานะเวียดนามขึ้นเป็นประเทศในเครือจักรภพ แต่ฝรั่งเศสไม่ยอมรับ
• ปี ค.ศ. 1950 สหรัฐอเมริกา ได้เริ่มเข้าช่วยฝรั่งเศสในการรบกับเวียดมินห์
• ปี ค.ศ. 1954 อนุสัญญาเจนิวาได้กำหนดให้แบ่งเวียดนามออกเป็นสองส่วนคือภาคเหนือกับภาคใต้โดยใช้เส้นรุ้งที่ 17
• ปี ค.ศ. 1959 เวียดนามเหนือเริ่มรุกรานเวียดนามใต้ ได้เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามของคนชาติเดียวกันที่ต่อสู้กันมาอย่างยาวนาน
• สงครามเวียดนามเป็นสงครามระหว่างเวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้ โดยฝ่ายเวียดนามเหนือมีฝ่ายคอมมิวนิสต์ซึ่งสหภาพโซเวียตและจีนให้การสนับสนุน ส่วนเวียดนามใต้เป็นฝ่ายประชาธิปไตยที่สหรัฐอเมริกาและประเทศพันธมิตรให้การสนับสนุน ซึ่งประเทศอเมริกาต้องทุ่มเทงบประมาณและสูญเสียชีวิตของทหารไปจำนวนมากไปกับสงครามเวียดนามในครั้งนี้ เนื่องจากทหารอเมริกไม่คุ้นเคยกับสภาพพื้นที่และการต่อสู้แบบกองโจรของทหารเวียดกง
• วันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 1973 มีการลงนามในข้อตกลงสันติภาพปารีส (Paris Peace Accords) ให้อเมริกาถอนกำลังทหารออกไปเวียดนามใต้
• วันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1975 กองทัพเวียดนามเหนือก็บุกยึดไซ่ง่อนได้สำเร็จ สงครามเวียดนาม (Vietnam Wars) ยุติลงอย่างเป็นทางการ
• วันที่ 3 กรกฎาคม ค.ศ. 1975 เวียดนามทั้งสองรวมประเทศเข้าด้วยกัน แล้วประกาศใช้ชื่อประเทศใหม่ว่า สาธารณรัฐเวียดนาม
• คนเวียดนามเรียกสงครามครั้งนี้ว่า "สงครามปกป้องชาติจากอเมริกา" หรือ "สงครามอเมริกัน" ผลปวงของสงครามในครั้งนั้นมีทหารอเมริกันเสียชีวิตจำนวน 58,226 นาย บาทเจ็บอีกจำนวน 153,303 นาย และคาดว่ามีจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมดในสงครามครั้งนี้ประมาณ 900,000 – 4,000,000 คน

• พิพิธภัณฑ์ทหาร (Army Museum) ฮานอย
• ที่ตั้ง : ตั้งอยู่บนถนนเดียนเบียนฟู (Dien Bien Phu)
• ค่าเข้าชม 10,000 ดอง
• เวลาทำการ เปิด 08.00 – 11.30 น. และ 13.30 – 16.30 น. หยุดวันจันทร์
• พิพิธภัณฑ์ทหาร สร้างขึ้นเพื่อเป็นการรำลึกถึงการประกาศอิสรภาพและการรวมชาติของชาวเวียดนาม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการทำสงครามกับมหาอำนาจอย่างฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกา โดยภายในพื้นที่ได้นำซากเครื่องบินทิ้งระเบิด B52 มาจัดให้คนรุ่นหลังได้เห็นถึงความโหดร้ายของสงคราม เมื่อเข้าไปด้านในก็มีภาพถ่ายของนักรบที่ร่วมกันชนะสงคราม เครื่องแบบทหารอเมริกา และยังมีโรงภาพยนตร์ขนาดเล็กๆ ซึ่งฉายภาพช่วงท้ายๆ ของสงครามเวียตนาม สำหรับที่นี่ชาวเวียตนามออกเสียงว่า บ่าว ตาง กวาน โด่ย (Bao Tang Quan Doi พิพิธภัณฑ์ทหาร)



ทะเลสาบคืนดาบ



• ทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม (Ho Hoan Kiem หรือ ทะเลสาบคืนดาบ)
ที่ตั้ง : ทะเลสาบแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองเก่าฮานอย สำหรับนักเดินทางที่มาเยือนฮานอย ซึ่งไม่ได้มากับบริษัททัวร์ส่วนใหญ่นิยมหาที่พักในบริเวณเมืองเก่า ที่เปรียบได้กับถนนข้าวสารของเมืองไทย เพราะมีเกสต์เอาส์และโรงแรมราคาประหยัดมากมาย มีเอเย่นต์ทัวร์สำหรับเลือกซื้อแพ็คเก็จทัวร์หรือตั๋วเดินทางภายในประเทศทั้งทางรถบัส รถไฟ เครื่องบิน และยังมีร้านจำหน่ายอาหารประเภทพื้นเมืองและตะวันตกมากมาย และร้านขายของที่ระลึก 
• ทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม มีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาว่าครั้งอดีตพระเจ้าเลไทโต (Le Thai Yo) ได้นำดาบวิเศษซึ่งนำมาต่อสู้กับพวกหมิงจนสามารถปลดปล่อยประเทศให้อิสระแล้ว พระองค์ทรงเรือไปกลางทะเลสาบเพื่อคืนดาบวิเศษให้กับเต่าศักดิ์สิทธิ์ และกล่าวกันว่าเต่าได้ขึ้นมาฉกดาบไปจักพระหัตถ์ของพระองค์ แล้วหายไปในทะเลสาบ อันเป็นเหตุให้ทะเลสาบแห่งนี้มีชื่อว่า ทะเลสาบคืนดาบ
• หากมองไปกลางทะเลสาบจะเห็นเจดีย์โบราณโผล่ขึ้นพ้นน้ำ สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 18 มีชื่อเรียกว่า ทาพรัว (Thap Rua) ซึ่งหมายถึง หอคอยเต่าและในปัจจุบันยังมีหลายคนบอกว่าเห็นเต่าขนาดใหญ่อยู่ในทะเลสาบแห่งนี้ โดยเฉพาะช่วงเปลี่ยนฤดูกาล

• วัดหง็อกเซิน ( Ngoc Son หรือ วัดเนินหยก)
ที่ตั้ง : อยู่ริมทะเลสาบบนเกาะหยก ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ สามารถข้ามจากฝั่งไปยังวัดโดยข้ามสะพานเทฮุก (The Huc) หรือสะพานแสงอาทิตย์ มีสีแดงสดใสถือเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของกรุงฮานอย นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกกันเสอมเมื่อถึงวัดหว็อกเซิน ด้านในมีบรรยากาศร่มรื่นและมีศาลาสำหรับนั่งพักผ่อน


วิหารวรรณกรรม



• วิหารวรรณกรรม
• วิหารวรรณกรรม ภาษาเวียดนามเรียกว่า วันเหมียว (Van mieu) สร้างใน พ.ศ. 1613 สมัยพระเจ้าหลีแถงห์โตง (Ly Thanh Tong) อุทิศให้แด่ขงจื้อ วิหารนี้อยู่ติดกับกว็อกตื่อยาม (Quoc Tu Giam) เป็นโรงเรียนของพวกขุนนางและเป็นมหาวิทยาลัยแห่งชาติแห่งแรกของเวียดนาม ต่อมาสมัยราชวงศ์ตรันได้เปลี่ยนชื่อเป็นกว็อกช็อกเวียน (Quoc Hoc Vien) บริเวณตรงหัวมุมทางเข้าด้านหน้าจะมีซุ้มสลักด้วยหินข้อความ “ขอให้ผู้มาเยือนลงจากหลังม้าก่อนที่จะเข้าไปข้างใน”
• วิหารวรรณกรรมแบ่งออกเป็น 5 ชั้นด้วยกัน ประตูทางเข้าด้านหน้าทำเป็น 2 ชั้น มีประตูรูปวงโค้ง คล้ายก๋งจีน สลักชื่อวิหารวรรณกรรมอยู่ชั้นบนสุด เมื่อลอดซุ้มประตูด้านหน้าเข้ามา จะพบความร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่ สองข้างทางมีบ่อน้ำสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก 2 บ่อ สังเกตได้ว่ามีการวางแผนผังการก่อสร้างที่ดี คำนึงถึงหลักของฮวงจุ้ยเช่นเดียวกับจีน คงได้รับอิทธิพลนี้มาจากจีน เพราะจีนเคยปกครองเวียดนามมาก่อน
• เมื่อเดินผ่านมาถึงอาคารชื่อตึกดาวลูกไก่ เคววันกั๊ก (Khue Van Cac) สถานที่นักอักษรศาสตร์มาท่องบทกวี มีประตูกำแพงใหญ่ได๋แถงห์โมน (Dai Thanh Mon) สัญลักษณ์ของกรุงฮานอย กับสระน้ำขนาดใหญ่ตรงกลางลานด้านหลังประตูมีชื่อว่า สระแสงงาม เทียนกวางติงห์ (Thien Quang Tinh) เวลาแสงจากพระอาทิตย์สาดส่องจะสะท้อนเข้าสู่ประตูใหญ่ ทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง
• บริเวณสองข้างสระแสงงามมีอาคารชั้นเดียวอยู่ 5 หลัง ภายในประดิษฐานแผ่นหินจารึกรวม 82 แผ่นหลงเหลือจากของเดิมที่มีอยู่ถึง 117 แผ่น แผ่นหินเหล่านี้จะตั้งอยู่บนหลังเต่าทำด้วยหิน จารึกชื่อ ผลงาน ประวัติทางวิชาการของผู้ที่สอบผ่านการศึกษาหลักสูตร 3 ปี ระหว่างปีพ.ศ.1985-2322 หลายคนจึงเรียกว่า “แผ่นหินจารึกชื่อจอหงวน”



สุสานโฮจิมินห์ เจดีย์เสาเดียว


• สุสานของโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh’ s Mausoleum)
• สุสานโฮจิมินห์ : ตั้งอยู่ที่จัตุรัสบาดิงห์ อยู่ห่างจากทะเลสาบโฮฮว่านเกี๋ยมไปทางทิศตะวันตก 2 กิโลเมตร จัตุรัสกลางเมืองนี้เป็นที่ประธานาธิบดีโฮจิมินห์อ่านคำประกาศอิสรภาพเวียดนามจากฝรั่งเสสต่อหน้าชาวเวียดนามที่มาชุมนุมกันอยู่ในจัตุรัสมากกว่า 500,000 คน เมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ.1945
• สุสานโฮจิมินห์ เป็นอาคารสุสานสร้างด้วยหินอ่อน หินแกรนิต และไม้มีค่าจากทั่วประเทศ ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของ Old Quarter สุสานนี้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1973 หลังจากโฮจิมินห์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1969
• ในสุสานโฮจิมินห์มีทหารกองเกียรติยศในชุดเครื่องแบบเต็มยศสีขาวยืนถือดาบปลายปืนยืนรักษาการณ์อยู่ตลอดเวลา มีทางเดินแคบๆ ไปยังห้องโถงใหญ่ ที่กลางห้องมีแท่นหินตั้งโลงแก้วบรรจุร่างของโฮจิมินห์หรือลุงโฮ ที่นอนสงบเหมือนคนนอนหลับอยู่ภายใน ผู้ที่จะเข้าไปในสุสานจะต้องฝากกระเป๋าถือและสิ่งของมีค่าไว้กับเจ้าหน้าที่ ห้ามถ่ายรูปใดๆ ทั้งสิ้น ผู้เข้าไปเคารพจะต้องแต่งกายเรียบร้อยและสำรวมกิริยาเดินตามกันไปเป็นแถวเรียงหนึ่งตามเส้นทางเดินที่จัดไว้ให้
• ศพของประธานาธิบดีโฮจิมินห์ได้รับการรักษาไว้ให้อยู่ในสภาพเดิม ซึ่งเป็นความลับทางการแพทย์ของรัสเซีย ที่แพทย์ในโลกตะวันตกยังไม่มีความชำนาญเท่า สุสานโฮจิมินห์จะปิดในฤดูใบไม้ร่วงเป็นเวลานาน 2 เดือน (เดือนตุลาคมและเดือนพฤศจิกายน) เพื่อนำศพลุงโฮไปทำความสะอาดและเปลี่ยนน้ำยาที่รัสเซีย เพื่อให้ศพของรัฐบุรุษที่ชาวเวียดนามนับถือเป็นบิดาของประเทศยืนยงไปชั่วนิรันดร์ ซึ่งขัดกับความประสงค์ของโฮจิมินห์ที่สั่งให้เผาร่างของท่าน แล้วนำเถ้าถ่านกับอังคารไปบรรจุไว้ที่ภาคกลางใต้ ภาคกลาง และภาคเหนือของประเทศ หากแต่ว่ารัฐบาลเวียดนามไม่ยอมปฏิบัติตาม คงเก็บรักษาร่างของลุงโฮไว้ให้คนเวียดนามกราบไหว้บูชาอยู่จนถึงปัจจุบัน

• ทำเนียบประธานาธิบดีและบ้านโฮจิมินห์
• ทำเนียบประธานาธิบดี เป็นอาคารทรงโคโลเนียลสีเหลือง ที่ฝรั่งเศสสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1901 เพื่อใช้เป็นที่ทำการของผู้สำเร็จราชการชาวฝรั่งเศสแห่งอินโด-ไชน่า ที่นี่เป็นสถานที่ทำงานของประธานาธิบดีโฮจิมินห์เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ปัจจุบันเป็นที่รับแขกเมืองของเวียดนาม รอบๆ ทำเนียบมีสวนดอกไม้และสระน้ำ
• บ้านพักโฮจิมินห์ ด้านหลังทำเนียบมีบ้านไม้หลังเล็กๆ ซึ่งลุงโฮใช้เป็นที่อยู่อาศัยมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1958 จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต ใต้ถุนบ้านเล็กๆ หลังนี้เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ ที่โฮจิมินห์ใช้เป็นที่ประชุมคณะกรรมการโปลิตบุโร กับนายทหารคนสำคัญๆ วางแผนการรบกับทหารสหรัฐอเมริกาในสงครามเวียดนาม ข้างบนบ้านเป็นห้องหนังสือและห้องนอนของโฮจิมินห์ซึ่งอยู่อย่างสมถุและเป็นโสดมาตลอดชีวิต

• เจดีย์เสาเดียว
• เจดีย์เสาเดียว ตั้งอยู่ใกล้บ้านลุงโฮ ชาวเวียดนามเรียกว่า จั่วโมดโกด เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 วัดเจดีย์เสาเดียวสร้างเป็นศาลาเก๋งจีนหลังเดียวขนาดเล็กตั้งอยู่บนเสาต้นเดียว ศาลานี้อยู่กลางสระบัวรูปสี่เหลี่ยม ภายในศาลาประดิษฐานรูปเจ้าแม่กวนอิม ปางสิบกร เป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งในฮานอย

• พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Museum)
• ที่ตั้ง : ตั้งอยู่หลังสวนสาธารณะใกล้ๆ กับจัตุรัสบาดิงห์ เดินผ่านสวนสาธารณะที่มีเจดีย์เสาเดียวตั้งอยู่ ก็จะพบกับพิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ เป็นรูปแบบของอาคารสมัยใหม่ขนาดใหญ่ มีการจัดแสดงนิทรรศการมากมาย มีการถ่ายภาพขาวดำ ในสมัยสงคราม ซึ่งจะได้เห็นความเป็นอยู่ของเหล่าทหารกู้ชาติอีกด้วยและเรื่องราวการสู้รบในสมัยครามเวียดนาม

ฮานอย เวียดนาม



• ฮานอย ฮานอยเคยเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ของเวียตนามตั้งแต่ปี พ.ศ. 1553 มีอายุ 1,000 ปี ซึ่งเป็นปีที่จักรพรรดิลีไทโด ทรงสถาปนาพระราชวังทังลองขึ้น ณ ดินแดนแห่งนี้ ตลอดช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงชื่อเมืองอีกหลายครั้ง ฮานอย แปลว่า เมืองบนฝั่งโค้งของแม่น้ำ นับเป็นเมืองหลวงที่มีขนาดเล็กที่มีความสวยงามมากตลอดสองฟากถนนเราสามารถเห็นตึกสไตล์โคโลเนียลอยู่เรียงรายสองข้างทาง
• ฮานอย ในภาษาเวียดนาม ฮา แปลว่า แม่น้ำ นอย แปลว่า ข้างใน ฮานอยตั้งอยู่ใจกลางสันดอนลุ่มแม่น้ำแดงในภาคเหนือของประเทศ มีทะเลสาบน้อยใหญ่ถึง 18 แห่ง มีทะเลสาบประจมเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุด และมีทะเลสาบใจกลางกรุงที่ขึ้นชื่ออย่าง โฮฮว่านเกี๋ยม นับเป็นเมืองหลวงขนาดเล็กที่มีเสน่ห์ไม่แพ้เมืองหลวงของประเทศอื่นๆ ในแถบเอเชีย ดังนั้น เมื่อคุณเดินทางมาถึงฮานอยจุดแรกที่ควรไม่ควรพลาดคือการไปริ่มต้นที่ ทะเลสาบโฮฮว่าเกี๋ยม ซึ่งเป็นย่านการค้าที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง มีถนนสายเล็กๆ 36 สายตัดสลับกันไปมา ชาวเวียตนามเรียกถนนสายนี้ว่า บาเมื่อยซัวโฟเฟือง แปลว่า 36 ถนน ชาวต่างชาติจะรู้จักกันในชื่อ โอลด์ควอเตอร์ หรือถนน 36 สาย บรรยาศของตลาดนี้คล้ายกับเยาวราชในประเทศไทย และมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทั้งโรงแรม เกสต์เฮาส์ บริษัทนำเที่ยว ร้านอินเตอร์เน็ต ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ใจกลางเมืองซึ่งเป็นย่านเก่าในเมืองฮานอย และห่างจากกรุงฮานอยมาทางทิศเหนือระยะทางประมาณ 160 กิโลเมตร ยังเป็นที่ตั้งของมรดกโลกทางธรรมชาติที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกอย่างอ่าวฮาลอง ทะเลสาบที่มีเนื้อที่กว่า 4,000 ตารางกิโลเมตร มีเกาะหินปูนน้อยใหญ่ที่ถูกกัดเซาะจากคลื่นลมในท้องทะเลเป็นเวลากว่าพันปี จนเกิดหินปูนรูปทรงสวยงาม วางเรียงรายอยู่บนผืนน้ำมากกว่า 1,000 เกาะ บรรยากาศเหมือนอ่าวพังงาในประเทศไทย
• การเดินทางจากประเทศไทย
• ทางรถยนต์ จากกรุงเทพฯ ใช้บริการรถโดยสารประจำทางไปยังจังหวัดหนองคาย จากนั้นข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว เดินทางไปยังนครเวียงจันทน์ มีรถโดยสารเดินทางจากนครเวียงจันทน์ไปยังกรุงฮานอย ประเทศเวียตนาม จอดอยู่ตรงข้ามดับโรงแรมเจริญชัย ติดกับสถานทูตอเมริกา วันละ 1 เที่ยว คือ เวลา 18.00 น. ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 15 – 16 ชั่วโมง ส่วนขากลับมีรถโดยสารประจำทางออกจากหน้าสถานทูตลาวในกรุงฮานอยกลับนครเวียงจันทน์อีกวันละหนึ่งเที่ยวเช่นกัน
• ทางอากาศ ปัจจุบันมีสายการบินไทย สายการบินไทยแอร์เอเชีย และสายการบินเวียดนาม แอร์ไลน์ ให้บริการเยวบินสู่สนามบินฮานอย
• การเดินทางท่องเที่ยวภายเมืองฮานอย
• พาหนะในการเดินทางเที่ยวชมเมืองฮานอยนั้นมีหลากหลายประเภท ทั้ง จักรยาน พาหนะยอดนิยมของนักท่อเที่ยวในการขี่เที่ยวชมรอบตัวเมือง สามารถหาเช่าได้ตามโรงแรมในประราคาประมาณ 10,000 ดอง/วัน หรือถ้าจะนั่งเที่ยวชมแบบสบายๆ ก็มีบริการของซิโคล่สามล้อถีบที่เราต้องนั่งอยู่ด้านหน้า และคนให้บริการปั่นจักรยายอยู่ด้านหลัง มีให้เลือกทั้งแบบนั่งชมรอบเมืองในราคาประมาณ 5,000 ดอง/คน หรือจะเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ราคาตามแต่จะตกลง
• ข้อแนะนำในการนั่งซิโคล่ในเมืองฮานอย คือ คุณควรจะตกลงสถานที่ท่องเที่ยวและราคาให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทาง ทางที่ดีควรพกแผนที่ตัวเมืองฮานอยติดตัวไปด้วย เพื่อบอกให้คนขับรู้จุดหมายปลายทาง จะได้ไม่ต้องมีปัญหาในเรื่องของภาษาที่ใช้ในการสื่อสานเพราะชาวฮานอยส่วนใหญ่จะพูดภาษาอังกฤษได้น้อยกว่าเมืองโฮจิมินห์

• สถานที่ท่องเที่ยวในฮานอย
• ทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม (Ho Hoan Kiem หรือ ทะเลสาบคืนดาบ)
ที่ตั้ง : ทะเลสาบแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองเก่าฮานอย สำหรับนักเดินทางที่มาเยือนฮานอย ซึ่งไม่ได้มากับบริษัททัวร์ส่วนใหญ่นิยมหาที่พักในบริเวณเมืองเก่า ที่เปรียบได้กับถนนข้าวสารของเมืองไทย เพราะมีเกสต์เอาส์และโรงแรมราคาประหยัดมากมาย มีเอเย่นต์ทัวร์สำหรับเลือกซื้อแพ็คเก็จทัวร์หรือตั๋วเดินทางภายในประเทศทั้งทางรถบัส รถไฟ เครื่องบิน และยังมีร้านจำหน่ายอาหารประเภทพื้นเมืองและตะวันตกมากมาย และร้านขายของที่ระลึก
• ทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม มีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาว่าครั้งอดีตพระเจ้าเลไทโต (Le Thai Yo) ได้นำดาบวิเศษซึ่งนำมาต่อสู้กับพวกหมิงจนสามารถปลดปล่อยประเทศให้อิสระแล้ว พระองค์ทรงเรือไปกลางทะเลสาบเพื่อคืนดาบวิเศษให้กับเต่าศักดิ์สิทธิ์ และกล่าวกันว่าเต่าได้ขึ้นมาฉกดาบไปจักพระหัตถ์ของพระองค์ แล้วหายไปในทะเลสาบ อันเป็นเหตุให้ทะเลสาบแห่งนี้มีชื่อว่า ทะเลสาบคืนดาบ
• หากมองไปกลางทะเลสาบจะเห็นเจดีย์โบราณโผล่ขึ้นพ้นน้ำ สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 18 มีชื่อเรียกว่า ทาพรัว (Thap Rua) ซึ่งหมายถึง หอคอยเต่าและในปัจจุบันยังมีหลายคนบอกว่าเห็นเต่าขนาดใหญ่อยู่ในทะเลสาบแห่งนี้ โดยเฉพาะช่วงเปลี่ยนฤดูกาล
• วัดหง็อกเซิน ( Ngoc Son หรือ วัดเนินหยก)
ที่ตั้ง : อยู่ริมทะเลสาบบนเกาะหยก ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ สามารถข้ามจากฝั่งไปยังวัดโดยข้ามสะพานเทฮุก (The Huc) หรือสะพานแสงอาทิตย์ มีสีแดงสดใสถือเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของกรุงฮานอย นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกกันเสอมเมื่อถึงวัดหว็อกเซิน ด้านในมีบรรยากาศร่มรื่นและมีศาลาสำหรับนั่งพักผ่อน

• พิพิธภัณฑ์การปฏิวัติ (Museum of Vietnamese Revolution)
ที่ตั้ง : ตั้งอยู่บนถนนตงดาน (Tong Dan) ไม่ไกลจากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ พิพิธภัณฑ์การปฏิวัติหรือที่ชาวเวียตนามเรียกว่า Bao Tang Cach Mang เป็นสถานที่ที่ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการต่อสู้เพื่อสันติภาพของคนในแผ่นดินนี้ต้องพบกับเรื่องราวอะไรมาบ้านตั้งแต่ครั้งโบราณจนถึงยุค พ.ศ. 2518 อันเป็นช่วงปีที่ทหารอเมริกาถอนกำลังออกจากเวียตนาม นอกจากนี้ยังมีหลาวไม้ขนาดยาวที่ปักไว้เพื่อสกัดกั้นกองกำลังมองโกล รวมถึงกลองศึกสำริดใบยักษ์ที่มีการสร้างมาตั้งแต่ก่อน 24,000 ปีก่อนคริสตกาลก็มีให้ชมกัน นับได้ว่าที่นี่น่าสนใจมากกับสิ่งของเรื่องราวที่จัดแสดงและประวัติอันขมขื่นที่ต้องเรียนรู้จากความเจ็บปวดของชนในชาติ
• พิพิธภัณฑ์ศิลปกรรม (Fine Arts Museum)
ที่ตั้ง : ตั้งอยู่บนถนนเหวียนไทฮ็อก (Nguyen Thai Hoc) ค่าเข้าชม 10,000 ดอง เปิด 09.15 – 17.00 น. หยุดวันจันทร์ พิพิธภัณฑ์ศิลปกรรมหรือที่ชาวเวียตนามเรียกว่า บ่าวตางมีทวด (Bao Tang My Thuat) เป็นแหล่งแสดงผลงานศิลปะที่ดีที่สุดของเวียดนามก็ว่าได้ เพราะที่นี่ได้จัดนิทรรศการครอบคลุมถึงงานศิลปะและประวัติของชนกลุ่มน้อยในเวียตนาม และมีพระพุทธรูปไม้ที่งดงามหลายองค์ซึ่งมีอายุหลายร้อยปี นอกจากนี้ยังมีกล่องสำริดดงเซิน (Dong Son) และศิลปะเวียดนามอย่างอื่นอีกมากมายทั้งที่เป็นของสมัยโบราณและยุคใหม่
• พิพิธภัณฑ์ทหาร (Army Museum)
ที่ตั้ง : ตั้งอยู่บนถนนเดียนเบียนฟู (Dien Bien Phu) ค่าเข้าชม 10,000 ดอง เปิด 08.00 – 11.30 น. และ 13.30 – 16.30 น. หยุดวันจันทร์ เพื่อเป็นการรำลึกถึงการประกาศอิสรภาพ และการรวมชาติของเวียตนามและแสดงให้เห็นถึงการทำสงครามกับมหาอำนาจอย่างฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกา โดยภายในพื้นที่ได้นำซากเครื่องบินทิ้งระเบิด B52 มาจัดให้คนรุ่นหลังได้เห็นถึงความโหดร้ายของสงคราม เมื่อเข้าไปด้านในก็มีภาพถ่ายของนักรบที่ร่วมกันชนะสงคราม เครื่องแบบทหารอเมริกา และยังมีโรงภาพยนตร์ขนาดเล็กๆ ซึ่งฉายภาพช่วงท้ายๆ ของสงครามเวียตนาม สำหรับที่นี่ชาวเวียตนามออกเสียงว่า บ่าว ตาง กวาน โด่ย (Bao Tang Quan Doi พิพิธภัณฑ์ทหาร)

• สุสานของโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh’ s Mausoleum)
ที่ตั้ง : ตั้งอยู่บนถนนเดียนเบียนฟู (Dien Bien Phu) บริเวณจัตุรัสบาสดิงห์ (Ba Dinh) สุสานแห่งนี้ได้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2516 เสร็จในปี พ.ศ. 2518 เป็นอาคารหินอ่อนและหินแกรนิตรวมถึงไม้เนื้อดีจากทั่วประเทศ เป็นอาคารที่โดดเด่นและสง่างามมาก โดยมีชื่อในภาษาเวียตนามว่า จู่ติกโอจิมินห์ (Lang Chu Tich Ho chi Minh ) ด้านในจะพบกับศพโฮจิมินห์ ซึ่งอาบน้ำยาอยู่ในโลงแก้วเพื่อให้ผู้คนที่เข้ามาชมได้รู้จักผู้นำที่มีความแข็งแกร่ง ทั้งที่นี่เป็นการกระทำซึ่งขัดต่อความต้องการของโฮจิมินห์ เพราะท่านต้องการให้เผาร่างเมื่อตายลง สำหรับห้องนี้ไม่อนุญาตให้นำกล้องถ่ายรูป วีดีโอ โทรศัพท์ หรือกระเป๋าทุกชนิดเข้าไปโดยเด็ดขาด
• บริเวณจัตุรัสบาสดิงห์นี้เองที่โฮจิมินห์ อ่านคำประกาศอิสรภาพของเขาในวันที่ 2 กันยายน พ.ศ.2488 และอีก 34 ปีต่อมา ในวันที่ 2 กันยายน พ.ศ.2512 ยังเป็นวันเสียชีวิตของโฮจิมินห์อีกด้วย
• หลังสุสานโฮจิมินห์ มีสวนสาธารณะที่เงียบสงบร่มรื่นและมีสระน้ำเล็กๆ และบ้านที่สร้างบนเสาสูงซึ่งเชื่อกันว่าเป็นที่อยู่ของโฮจิมินห์ และบริเวณใกล้ๆนั้นมี เจดีย์เสาเดียว ที่สร้างในปี 1049 สมัยราชวงศ์หลี เป็นเจดีย์ไม้ที่งดงาม ตั้งอยู่บนเสาต้นเดียวกลางสระบัว
• พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Museum)
ที่ตั้ง : ตั้งอยู่หลังสวนสาธารณะใกล้ๆ กับจัตุรัสบาดิงห์ เดินผ่านสวนสาธารณะที่มีเจดีย์เสาเดียวตั้งอยู่ ก็จะพบกับพิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ เป็นรูปแบบของอาคารสมัยใหม่ขนาดใหญ่ มีการจัดแสดงนิทรรศการมากมาย มีการถ่ายภาพขาวดำ ในสมัยสงคราม ซึ่งจะได้เห็นความเป็นอยู่ของเหล่าทหารกู้ชาติอีกด้วยและเรื่องราวการสู้รบในสมัยครามเวียตนาม

• โรงละครฮานอย (Hanoi Opera House)
ที่ตั้ง : โรงละครแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนน Ly Thai To ตัดกับถนน Trang Tien บริเวณวงเวียนห้าแยก
โรงละคร สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2454 สไตล์แบบฝรั่งเศส ตกแต่งอย่างงดงามดูแข็งแกร่ง ภายในมีที่นั่งกว่า 900 ที่นั่ง ปัจจุบันยังเปิดแสดงอย่างสม่ำเสมอ การแสดงจะเน้นดนตรีคลาสสิค
• พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ (History Museum)
ที่ตั้ง : ตั้งอยู่หลังโรงละครฮานอย ค่าเข้าชม 15,000 ดอง สำหรับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์หรือชาวเวียตนามเรียก Bao Tang Lich แห่งนี้เป็นอดีตเป็นสถาบันวิจัยทางโบราณคดีของสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบุรทิศ (Ecole Hrancaise d’Extreme Orient) สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2453 สร้างใหม่ปี 2469 ก่อนจะเปิดอีกครั้งในปี พ.ศ. 2475 ซึ่งสิ่งที่นำมาจัดแสดงไว้ที่นี่ครอบคลุมถึงประวัติศาสตร์เวียตนามทุกสมัย เป็นโบราณวัตถุที่หาดูได้ยากยิ่ง มีกลองสำริดโบราณ ซึ่งเป็นศิลปะอันงดงามของพวกจากที่แพร่เข้ามาในประเทศไทยด้วย นอกจากนี้ยังมีเครื่องถ้วยชาม และเจ้าแม่กวนอิมปางประหลาด รวมถึงห้องจัดแสดงของใช้สิ่งของต่างๆ ของกษัตริย์ 13 พระองค์แห่งราชวงศ์เหวียน หากชอบเกี่ยวกับโบราณคดีคุณจะได้สัมผัสรากฐานแห่งอารยธรรมได้ดีทีเดียว

• ตลาดดงซวน (Dong Xuan)
ที่ตั้ง : ตั้งอยู่สุดถนนฮังดาว ทางด้านเหนือของเขตเมืองเก่า ตลาดดงซวนเป็นอีกสถานที่ที่ไม่ควรพลาด ตามประวัติตลาดแห่งนี้โดนไฟไหม้ไปตั้งแต่ปี 1994 ทว่าได้มีการซ่อมแซมเพื่อช่วยให้เก็บรักษาบรรยากาศเก่าๆ เอาไว้ให้ได้มากที่สุด โดยตลาดแห่งนี้มีสินค้ามากมายให้เลือก ตั้งแต่บรรดาเครื่องจักรสาน พรมผืนเล็กๆ อาหาร เสื้อผ้า ของที่ระลึก จนถึงซีดี และดีวีดี และยังมีเหล้าไวน์ราคาถูกด้วย นอกจากนี้ยังมีร้านจำหน่ายดอกไม้ตามริมถนน ร้านขายยาแผนโบราณที่มีกลิ่นสมุนไพรเป็นเอกลักษณ์ ร้านขายยาดองมีสัตว์ต่างๆ อยู่ในขวดก็มีอยู่ให้ชิมกัน ทั้งเหล้าดองงู ดองตุ๊กแก ดองจิ้งจก
• โบสถ์เซนต์โจเซฟ (St Joseph Cathedral)
ที่ตั้ง : ตั้งอยู่บนถนนยาจุง (Nha Chung) ทางด้านเหนือของทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม ของกรุงฮานอย เมื่อจักรวรรดิฝรั่งเศสเข้าปกครองเวียตนามและได้จัดการเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ให้ทันสมัยได้ทำให้ความเชื่อและสิ่งก่อสร้างอันเป็นเอกลักษณ์ได้ถูกทำลายทิ้งไปพอสมควร รวมถึงที่นี่ด้วย เพราะก่อนตะสร้างโบสถ์แห่งนี้ที่นี่เคยเป็นที่ตั้งของเจดีย์บ่าวเทียน (Bao Thien) และถูกทำลายลงตอนสร้างโบสถ์เซนต์โจเซฟ ทำให้ที่นี่เป็นโบสถ์เก่าที่สุดในฮานอย เริ่มเปิดครั้งแรกในคืนคริสต์มาสปี พ.ศ. 2429 ปัจจุบันนักท่องเที่ยวนิยมมาเยือนที่นี่ด้วยความศรัทธาและถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ใกล้ๆ กันมีร้านจำหน่ายของที่ระลึกอยู่หลายร้าน และมีร้านอาหารไว้คอยให้บริการอยู่

• ที่พัก
• การหาที่พักในกรุงฮานอยไม่ใช่เรื่องยากเพราะฮานอยเป็นเมืองหลวงของเวียตนามและเป็นศูนย์กลางในการท่องเที่ยวในเขตเวียตนามกลาง จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายมีที่พักระดับมาตรฐาน ส่วนใหญ่จะอยู่ในย่านโอลต์ควอเตอร์ มีโรงแรมระดับดีๆ อยู่เยอะ มีห้องพักที่ได้มาตรฐาน แต่ราคาค่อนข้างสูงโดยเฉพาะช่วงเทศกาล ส่วนโรงแรมขนาดเล็กหรือเกสต์เฮาส์ จะอยู่บริเวณย่านตัวเมืองเก่าและทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม ซึ่งดัดแปลงมากจากตึกเก่าสมัยอาณานิคม
• ร้านอาหาร
• ศูนย์รวมของแหล่งอาหารในฮานอยจะอยู่ในย่านโอลด์ควอเตอร์ มีทั้งอาหารที่ขึ้นชื่ออย่างเฝอ (ก๋วยเตี๋ยวน้ำเส้นเล็กใส่ใบสะระแหน่ มะนาว และถั่วงอก) เสริฟมาพร้อมกับผักสดในเครื่องเคียงจากใหญ่ นับเป็นอาหารท้องถิ่นของฮานอย หรือจะเลือกร้านประเภทภัตตาคารก็ได้ ส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ติดกับถนนเส้นหลักย่านใจกลางเมือง มีทั้งร้านอาหารเวียตนาม อาหารตะวันตก จีน หรือถ้าอยากลิ้มรสอาหารต้นตำรับชาวเวียต แนะนำให้เลือกเข้าร้านอาหารเวียตนาม

ข้อมูลการท่องเที่ยวประเทศเวียดนาม

ประเทศเวียดนาม มีรูปร่างคล้ายตัว S ทอดตัวยาวเหยียดไปตามแหลมอินโดจีน ด้านตะวันออกติดทะเลจีนใต้ ด้านเหนือติดจีน ด้านตะวันตกติดลาว และกัมพูชา สามในสี่ของพื้นที่เป็นภูเขาและป่า ครอบคลุมทะเล ไหล่ทวีป และหมู่เกาะนับพันเกาะจากอ่าวตังเกี๋ยจรดอ่าวไทย รวมทั้งหมู่เกาะสแปรตลีและพาราเซลที่จีนและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายประเทศแย่งกันอ้างกรรมสิทธิ์ สาเหตุเป็นเพราะมีแหล่งน้ำมันใต้ดินที่อุดมสมบูรณ์

แผนที่ประเทศเวียดนาม